[เที่ยว ซาอุดิอาระเบีย ด้วยตัวเอง Ep.1] รู้จักซาอุดิอาระเบีย แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ ตอบคำถามที่ทุกคนสงสัย!

ตอนที่นัทบอกทุกคนว่าจะไปเที่ยว “ซาอุดิอาระเบีย” หลายคนทำหน้าสงสัย หลายคนถามว่าน่ากลัวรึปล่าว เดินทางไปท่องเที่ยวปกติได้มั้ย หรือแม้แต่เพื่อนชาวมุสลิมหลายท่านที่มีโอกาสไปแสวงบุญ ก็ถามว่า ซาอุดิอาระเบีย มีอะไรให้เที่ยว?

จากทริปที่นัทไปมา ซาอุดิอาระเบีย มีทั้งแง่มุมของวัฒนธรรม โบราณสถาน แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่แปลกตาและเป็นเอกลักษณ์ ประเทศนี้เป็นประเทศที่ไม่มีแม่น้ำ เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของเอเชีย ตั้งอยู่บนคาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และที่สำคัญ เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม เดินทางไปเที่ยวได้ตั้งแต่ปี 2018 และ เปิดให้นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม เข้าได้ตั้งแต่ พฤษภาคม 2022 เป็นต้นมาค่ะ

แม้ว่านัทจะเคยเดินทางในตะวันออกกลางรวมไปถึงโลกมุสลิมทั้งในแอฟริกาเหนือ, เอเชียกลาง และ รอยต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย มาหลายประเทศ แต่ซาอุดิอาระเบีย เป็นหนึ่งในทริปที่เซอร์ไพรส์และนัทประทับใจมากในหลายแง่มุมเลยค่ะ เป็นประเทศที่แม้ว่าจะเป็นมุสลิมเคร่งครัด แต่ผู้คนดูเคารพในการไปท่องเที่ยวของเรามากๆ ผู้หญิงไม่ได้ถูกบังคับคลุมผม สามารถขับรถได้ และ เป็นที่แรกในภูมิภาคนี้ถัดจากดูไบ ที่นัทไม่โดนมองด้วยความสงสัยว่าผู้หญิงมาเที่ยวได้ยังไง (ซึ่งแม้แต่มัลดีฟส์ในเกาะท้องถิ่น ยังโดนมองแปลกๆ เลย ด้วยชุดความเชื่อว่า ผู้หญิงห้ามออกจากบ้านโดยไม่มีผู้ชายไปด้วย) ที่สำคัญ คนขายของ คนขับแท็กซี่ ตามสถานที่ท่องเที่ยวไม่มีใครมาตื๊อเลย บอกว่า No, thank you คำเดียวเค้าก็ยิ้มและโค้งให้แล้วไปเลย และโดยรวมรู้สึกปลอดภัยมากๆ ค่ะ

พร้อมแล้ว มารู้จักซาอุดิอาระเบีย (ในแง่มุมของการไปท่องเที่ยวในฐานะคนที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม) กันเลยค่ะ!

1. ซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่ส่วนไหนของโลก?

ประเทศซาอุดิอาระเบีย ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งเป็นคาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่อันดับ 13 ของโลก และ อันดับ 5 ของเอเชีย และทั้งคาบสมุทรเป็นทะเลทราย เป็นประเทศที่ตอนร้อนร้อนมาก แต่ตอนหนาวหนาวมาก ขนาดที่มีพื้นที่ที่หิมะตกอยู่บนภูเขาทางตอนเหนือ ล้อมรอบด้วยทะเลแดง Red Sea และ อ่าวเปอร์เซีย (ในทางภูมิศาสตร์แผนที่ภาษาอังกฤษ เรียก Persian Gulf แต่ตั้งแต่มีรัฐ GCC เกิดขึ้นประเทศอาหรับก็จะเรียกว่า อ่าวอาหรับค่ะ) ทางตอนใต้ติดกับเยเมนและโอมาน ส่วนทางอ่าว ก็จะติดกับประเทศ GCC ได้แก่ กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ คูเวท บาห์เรน ทางเหนือติดกับอิรักและจอร์แดน  ประเทศนี้ไม่มีแม่น้ำถาวร แต่มีแม่น้ำที่เกิดขึ้นมาตามฤดูเรียกว่า Wadi ค่ะ

เมืองหลวงชื่อ กรุงริยาดห์ (Riyadh) อยู่ค่อนมาทางฝั่งตะวันออกของประเทศ และ เมืองใหญ่อันดับสองชื่อ เจดดาห์ (Jeddah) อยู่ฝั่งตะวันตกติดทะเลแดงค่ะ


2. สถานที่ท่องเที่ยว เป็นแนวไหน?

จริงๆ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ใหม่มากนะคะ เริ่มแบบทางการเมื่อปี ค.ศ. 1932 ที่ผ่านมานี่เองและกลายมาเป็นประเทศที่มั่งคั่งและมีอิทธิพลได้เพราะการค้นพบน้ำมันในปี ค.ศ. 1938 ที่ผ่านมาค่ะ อย่างไรก็ตามการค้นพบอารยธรรมและการตั้งรกรากของผู้คนก็ย้อนกลับไปยาวนานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ และ ยุคก่อนอิสลาม จนกระทั่งศาสดามูฮัมหมัดเกิดในช่วงประมาณปี 570 ที่เมืองเมกกะ และเผยแพร่ศาสนาออกไปค่ะ

ดังนั้น สถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่ จะมีตั้งแต่ ที่เที่ยวทางโบราณสถาน ที่เที่ยวทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา อนุสรณ์ที่เกี่ยวกับการสร้างชาติ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อลังการมากๆ ไปจนถึงเมืองใหญ่ทันสมัยและมั่งคั่งอันดับต้นๆ ของตะวันออกกลาง

เมืองที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ จะเป็น กรุงริยาดห์ เมดินา เจดดาห์ และ เมกกะ ซึ่งเมกกะถือเป็นนครศักดิ์สิทธิ์และเป็นเมืองเดียวที่ไม่ให้ผู้ไม่ใช่ชาวมุสลิมเข้าถึงทุกวันนี้ค่ะ ส่วนเมืองท่องเที่ยวที่กำลังฮิตสุดๆ คือ Al Ula และเป็นเมืองหลักที่นัทจะไปเที่ยวในครั้งนี้ค่ะ เมืองนี้กำลังฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งจากริยาดห์ และจากประเทศรอบๆ เช่นคูเวท กาตาร์ สหรัฐเอมิเรทส์ รวมไปถึงชาวตะวันตกด้วยค่ะ


3. การเดินทางไปยัง ซาอุดิอาระเบีย มีสายการบินอะไรบ้าง ไปยังไงได้บ้าง?

เที่ยวบินตรงไปซาอุดิอาระเบีย จะมี การบินไทย ที่บินตรง กทม – เจดดาห์
และ SAUDIA สายการบินประจำชาติซาอุ ที่บินตรง กทม – ริยาดห์ และ กทม เจดดาห์ ค่ะ

แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องบินตรง ก็ไปเปลี่ยนเครื่องใกล้ๆ เช่น Emirates เปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ, Qatar เปลี่ยนเครื่องที่โดฮา, Oman Air เปลี่ยนเครื่องที่มัสกัต, Kuwait เปลี่ยนเครื่องที่คูเวตซิตี้ แม้แต่ สายการบินราคาถูกอย่าง Indigo เปลี่ยนเครื่องที่นิวเดลี ก็มีค่ะ เปลี่ยนเครื่องใกล้มากจริงๆ

ปกตินัทจองผ่าน Skyscanner.com ไม่ก็ Trip.com << แนะนำให้ลองหาผ่านลิงค์นี้ได้เลยค่ะ

ส่วนเมืองใหญ่ๆ ในซาอุ จะมีสายการบิน SAUDIA และ สายการบินโลว์คอสท์ Flynas ที่มีบินทั้งวัน ฟีลกรุงเทพภูเก็ตเชียงใหม่ มีไฟลท์ตลอด มีออปชั่นไม่แพง

แต่เมือง Al Ula เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ มีบินแค่ SAUDIA และมีวันละ 1-2 ไฟลท์ ราคาตั๋วจะแพงหน่อย ฟีลสมุยเลยค่ะ ในบางวันของสัปดาห์ก็จะมีเที่ยวบินมาจาก ดูไบ ด้วย flydubai ด้วยค่ะ

จริงๆ แผนการเดินทางของนัท ถ้าสะดวกสุดคือ บินเข้า ริยาดห์ แล้วกลับจากเจดดาห์ หรือเข้าเจดดาห์กลับจากริยาดห์ แต่… พอดีไมล์การบินไทยเหลือค่ะ เลยบินไปกลับการบินไทย เข้าออกจากเจดดาห์ค่ะ


4. VISA (วีซ่าซาอุดิอาระเบีย)

***อัพเดทใหม่ล่าสุด ตุลาคม 2566*** คนไทยสามารถขอวีซ่าออนไลน์ E-Visa ซาอุดิอาระเบีย ได้แล้วนะคะ เพียงกรอกข้อมูลและจ่ายเงินออนไลน์ก็เรียบร้อยค่ะ ราคาดีสุด สะดวกสุด ไม่ต้องใช้เอกสารวุ่นวายแล้วค่ะ https://visa.visitsaudi.com/ ////

– ทำวีซ่าที่สถานทูตซาอุดิอาระเบียที่กรุงเทพฯ ทางสถานทูตจะมีคอนแทคให้เอเจนซี่ทำได้แค่ 4 เจ้าเท่านั้น สามารถโทรหาสถานทูตได้เลย เค้าจะให้เบอร์มา 4 เจ้าเลยค่ะ ส่วนนัทก็คือ ไม่ได้โทรเทียบราคา แค่เลือกโทรไปเบอร์นึงที่สถานทูตให้มาแล้วก็ทำเลย นัททำกับเจ้านี้ค่ะ คุณดา 089-0485836 ราคา 8,500.- ต่อคน แต่ใครอยากโทรเทียบหลายๆ เจ้า ก็โทรขอเบอร์จากสถานทูตนะคะ นัทไม่ได้จดไว้

– เอกสารที่ต้องใช้ ก็คือ พาสพอร์ท, รูปถ่าย, ใบจองโรงแรม, ใบจองตั๋วเครื่องบิน, สเตทเม้นท์ 3 เดือนย้อนหลัง และ ที่ค่อนข้างยุ่งยากกว่าปกติคือ “ใบรับรองการทำงาน ที่ต้องมีการประทับสติกเกอร์รับรองจากหอการค้าไทย” — ซึ่งสติกเกอร์รับรองจากหอการค้าไทย จะต้องลงทะเบียนใน https://mr.thaichamber.org/ เตรียมใบรับรองบริษัท ภพ. 20 แล้วก็เอกสารตามแบบฟอร์มที่ปริ้นท์ออกมาจากระบบของหอการค้า สแกนแล้วเอาไปยื่น ก็จะได้สติกเกอร์ค่ะ

ซึ่งตรงนี้ ถามว่ายุ่งยากมั้ย คือ มันก็ไม่ได้ยาก เพราะ นัทมีเอกสารของบริษัทตัวเอง (เจ้าของบริษัทก็รับรองตัวเอง ปริ้นท์เป็นใบรับรองการทำงานออกมาว่าตัวเองเป็นเจ้าของ) แต่ถ้าใครทำงานประจำแล้วต้องไปขอเอกสารเหล่านี้จากที่ทำงาน ก็อาจจะยุ่งยากประมาณนึงเลยค่ะ

ทั้งหมดนี้ ลองปรึกษา เอเจนซี่ได้เลยนะคะ

– ถ้ามีวีซ่า US, UK, Schengen ที่เคยใช้แล้ว และยังไม่หมดอายุ สามารถทำ Visa on Arrival ที่สนามบินได้ แต่ต้องบินกับสายการบิน SAUDIA ค่าวีซ่าจะอยู่ที่ 150USD เช็คอัพเดทในเว็ปอีกทีนะคะ


5. เที่ยวซาอุดิอาระเบีย ฤดูไหนดี

อย่างแรกที่ทุกคนบอกคือ ซาอุ เวลาหนาวหนาวมาก และเวลาร้อนร้อนมากกกกก นัทไม่แนะนำให้ไปหน้าร้อนเลยนะคะ เพราะอุณหภูมิสูงได้สี่สิบองศาเลย

ตามหลักการ ซาอุดิอาระเบีย มี 4 ฤดูค่ะ แต่เท่าที่หาข้อมูลมาคือ ปลายมีนาก็จะเริ่มร้อนแล้ว ไปจนถึงช่วงตุลาเลยค่ะ ส่วนช่วงที่หนาวก็คือ พฤศจิกายน ไป จนถึง ต้นมีนาค่ะ ช่วงที่นัทไปคือ กลางกุมภา อากาศเย็นสบายไปจนถึงหนาว คือหนาวแบบต้องเปิดฮีทเตอร์และใส่แจ็กเก็ตเลยนะคะ อากาศจะอยู่ประมาณ 8 – 20 องศา

ซาอุดิอาระเบีย เวลาช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมงค่ะ


6. ค่าครองชีพ การแลกเงิน ซิมการ์ด

ซาอุดิอาระเบีย ใช้สกุลเงิน Saudi Riyal (SAR) อ่านว่า ริยัล ค่ะ ช่วงที่เราไปอยู่ที่ 1 SAR = 9 บาท ร้านแลกเงินดังๆ ในกรุงเทพฯ มีให้แลกค่ะ

แต่เกือบทุกที่ที่นัทไป รับบัตรเครดิต ตามคาเฟ่ ร้านอาหาร โรงแรม ร้านค้า รับหมด มีแค่บางปั๊มน้ำมันที่ไม่รับบัตรเครดิตค่ะ ดังนั้น เงินสดของนัทคือเอาไว้เผื่อเติมน้ำมัน ให้ทิป แล้วก็ซื้อของตามตลาดค่ะ ส่วนของนัทจะมีค่าทัวร์ Edge of the world ที่ริยาดห์ ที่ดีลไว้ว่าจ่ายเงินสดค่ะ

ค่าครองชีพที่ซาอุดิอาระเบีย ไม่ถูกค่ะ จริงๆ ทุกอย่างถือว่าราคาสูงเลยแหล่ะ แพงทุกอย่างยกเว้น… ค่าเช่ารถกับค่าน้ำมัน!! น้ำมันรถนี่ถูกเหมือนแจกฟรี ขับเที่ยวสามวัน เดิมน้ำมันไปแปดร้อยบาท มันตกลิตรละ 18-20 บาทอ่ะค่ะ

ส่วนอาหาร ถ้าร้านข้างทางเลย ก็ตกคนละร้อยกว่าบาท ตอนแรกจะสั่งอาหารฟีลสั่งแกร็บมาทานที่ห้อง ก็คือทุกอย่างเริ่มต้นสามสี่ร้อยหมดเลย KFC เซ็ทละประมาณสองร้อยค่ะ แต่ถ้าร้านอาหารดีๆ กินออกมาตกคนละพันสองพัน ม็อกเทลไม่มีแอลกอฮอลล์ในโรงแรมแก้วละแปดร้อยนี่ช๊อคสุด

โรงแรม ราคาสมเหตุสมผลค่ะ ทั่วไปราคาประมาณยุโรปตะวันตก แต่ถ้าใครสายเที่ยวประหยัด เที่ยวคนเดียว นอนโฮสเทล ใช้ขนส่งสาธารณะ นัทว่าที่นี่ยังไม่พร้อมสำหรับแบบนั้นค่ะ ใครถามว่าเที่ยวคนเดียวได้มั้ย นัทตอบเลยว่า เรื่องความปลอดภัยอ่ะได้ แต่เรื่องความคุ้มค่าอาจจะไม่ได้ เพราะไปไหนก็ต้องมีรถ โรงแรมก็มีแต่แบบโรงแรมเลย ไม่มีคนหารอาจจะไม่คุ้มค่ะ

ซิมการ์ด นัทใช้แพกเกจโรมมิ่งจากไทยค่ะ บ้านนัทใช้ AIS กับ ทรู ก็เวิร์คทั้งสอง มีเน็ตแรงตลอด ปกติค่ะ


7. ภาษา ผู้คน ความปลอดภัย

ที่นี่ใช้ภาษาอาหรับเป็นหลักค่ะ ด้วยความที่คนทำงานในร้านอาหารหรืองานบริการที่เราเจอส่วนใหญ่จะเป็นชาวฟิลิปปินส์และชาวเอเชียใต้ ทำให้พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน เรื่องภาษานี่นัทรู้สึกว่าคล้ายกับเมืองไทย คือคนซาอุที่มาเป็นลูกค้าตามโรงแรมหรือร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ก็พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน และพูดคุย แบ่งปันเรื่องราวให้เราฟังแบบน่ารักมากๆ แต่ว่าถ้าไปตามตลาดท้องถิ่น ร้านอาหารข้างทางหรือคุยกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ แท็กซี่ หลายคนจะพูดภาษาอังกฤษได้แค่เป็นคำๆ ค่ะ

คนซาอุเท่าที่ได้สัมผัสมา (นัทไม่ได้ออกไปเมืองเล็กๆ หรือ เมืองไม่ท่องเที่ยว เลยแชร์ได้เท่าที่สัมผัสมานะคะ) สิ่งที่ชอบคือ เราไม่โดนจ้องหรือมองเลยค่ะ ซึ่งอันนี้นัทอาจจะมีภาพในหัวที่เตรียมใจไปก่อนแบบผิดๆ เพราะเวลาไปประเทศอื่นรอบๆ ก็ยังรู้สึกว่ามักจะโดนมอง โดยรวมคือรู้สึกว่าคนสุภาพมากเลย

ส่วนเรื่องความปลอดภัย ต้องบอกว่า ตามการบันทึก ที่นี่มีอัตราอาชญากรรมต่ำมาก อาจจะด้วยกม.อิสลามที่แรงรึปล่าวนัทไม่แน่ใจนะคะ แต่โดยทั่วไปคือ นัทเห็นชาวซาอุเองก็ค่อนข้างชิลล์ แบบ ในร้านอาหาร กระเป๋าแบรนด์เนมวางไปเรื่อย ใส่นาฬิกาหรูเป็นปกติ จนส่วนตัวรู้สึกว่าถ้าเป็นที่ยุโรปคือไม่รอดแน่ๆ หรือมีจังหวะนึงที่นัทขับรถไปถึงโรงแรม รถเบนท์ลี่คันข้างหน้า จอดแล้วเดินลงไปเลย ประตูรถก็ไม่ปิด กุญแจรถยังสตาร์ทคาไว้ พนักงานรับรถยังไม่มาเลย แก๊งค์ผู้หญิงท้องถิ่นที่ขับรถมา คือนั่งรถกอล์ฟเข้าไปร้านอาหารข้างในแล้ว มีโมเม้นท์แบบนี้หลายรอบมากๆ

ผู้คนนับถือศาสนามุสลิมเป็นหลักนะคะ แต่เราไม่ได้คลุมอะไร ก็แต่งตัวสุภาพในการเข้าชมสถานที่ปกติค่ะ ยกเว้นถ้าเข้ามัสยิดต้องคลุมผมค่ะ แม้แต่คนท้องถิ่นก็มีหลายคนไม่ได้คลุมผมค่ะ เห็นกลุ่มผู้หญิงออกไปแฮงก์เอาท์กันเองตามปกติและคลุมผมตามความสมัครใจ ไม่ได้คลุมมิดด้วยนะคะ คลุมแบบสวยงามเลย

การขับรถ เมืองใหญ่คือขับรถโหดอยู่ แบบขับเร็ว ปาดแรง สำหรับนัทคือ ถ้าเราขับในกรุงเทพฯ ได้ ดูกูเกิลแมพเป็น ขับรถชิดขวาได้ ก็คือขับได้ค่ะ แต่ถ้าไม่เคยขับรถเลนขวาไปก่อนเลย แล้วจะไปหัดขับครั้งแรก ในเมืองริยาดห์กับเจดดาห์ นัทว่าแอบยาก แต่เมือง Al Ula เป็นเมืองต่างจังหวัด ถนนเส้นเดียว รถไม่เยอะ ก็น่าจะโอเคเลยค่ะ

นัทหารถจาก Rentalcars.com นะคะ << คลิ๊กที่นี่ได้เลย


8. อาหาร

ซาอุดิอาระเบีย ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์!!! อันนี้เป็นกฏสำคัญเลยค่ะ (แม้จะเคยได้ยินมาว่ามีที่แอบขายและแอบทานในบ้าน) แต่โดยรวมคือไม่มีเลยยยย

อาหารก็จะเป็นพวกอาหารอาหรับเนี่ยแหล่ะ อาหารประจำชาติชื่อ Kabsa เป็นข้าวอบ แต่… แอบหาร้านอาหารอาหรับทานยากเหมือนกันค่ะ ร้านที่ฮิตๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารตะวันตก แล้วก็ร้านดังจากฝั่งยุโรป/เมกาทั้งนั้นเลย ที่นี่มีหมดเลยค่ะ Nobu, Hakkasan, Angelina, Elan, Mamo Michelangelo, Entrecote, Okto ส่วนอาหารเป็นฮาลาล 100% แต่ดีที่มีซีฟู้ดเยอะ แล้วซีฟู้ดตัวใหญ่ สด นอกนี้ก็ เนื้อวัว ไก่ แกะ ค่ะ

อีกวัฒนธรรมคือการกินกาแฟซาอุ กับ อินทผลัม ค่ะ ซึ่งกาแฟซาอุ เนี่ย ต้องแบ่งเป็นอีกหนึ่งชนิดเครื่องดื่มเลย Qahwa เป็นกาแฟอ่อนๆ จางๆ ใส่กระวาน กานพลู ซึ่งทานตอนแรกจะยังไม่ชิน เพราะมันไม่ใช่กาแฟหรือชาแบบที่เราชิน แต่หลังๆ ทานทุกวันค่ะ ฟีลน้ำสมุนไพร สูตรไหนใส่ขิง ทานร้อนๆ ตอนอากาศหนาวคือดีมากกก Qahwa จะทำมาแบบไม่หวาน แต่ให้ทานกับอินทผลัม ซึ่งเข้ากันมากๆ ค่ะ

ส่วนอีกอย่างที่ไม่เหมือนเราคือ ร้านกาแฟ เปิดถึงเที่ยงคืน หรือ ตีสองเลยค่ะ สตาร์บัคส์งี้ ปิดตีหนึ่งนะคะ


แผนการเดินทาง

การวางแผนเดินทางที่นี่ หากอยากตามรอยนัทเลย แนะนำให้เช็ค ไฟลท์ไป Al Ula ก่อนค่ะ เพราะไฟลท์น้อยและเต็มล่วงหน้า รวมถึงใครอยากพักที่นัทลงรูปไปแล้วสวยๆ นั่นก็เต็มล่วงหน้าเป็นเดือนในหน้าหนาว… ดังนั้น เช็คโรงแรมกับไฟลท์ก่อน แล้วค่อยทำทริปส่วนที่เหลือค่ะ

*วันศุกร์เป็นวันละหมาดใหญ่ และเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์, วันศุกร์-เสาร์ = วันเสาร์-อาทิตย์, วันศุกร์เช้า ทุกอย่างปิด ยกเว้นฟาสท์ฟู้ดค่ะ ปิดคือปิดแบบ ห้างใหญ่ก็ปิด ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ปิด มิวเซียม พระราชวัง ที่เที่ยว ปิดเกือบหมดเลยนะคะ (ยกเว้นร้านเช่ารถที่สนามบิน ถ้าเขียนว่า 24 ชม. คือเปิดตลอดจริงๆ)

*เวลาเปิดปิดทำการของพวกมิวเซียมหรือที่เที่ยวจะแปลกๆ นิดนึง คือ เปิด 8.00-12.00 แล้วพักยาว เปิดอีกที 17.00 – 20.00 น. อะไรแบบนี้เลยนะคะ ต้องเช็คดีๆ

อย่างที่บอกไปว่า นัทอยากแลกไมล์การบินไทย เลยต้องบินไปกลับ เจดดาห์.. นัทเลยแพลนออกมาแบบ เที่ยวเจดดาห์ วันไปกับวันกลับ แต่จริงๆ ถ้าสมมติใครไปลงริยาดห์ แล้ว กลับจากเจดดาห์ (หรือบินไปเจดดาห์กลับจากริยาดห์) ก็จะไม่ต้องบินย้อนกลับไปค่ะ จัดเป็นเมืองละประมาณ 2-3 วันได้ค่ะ

แพลนนี้ เป็นแพลนสั้นนะคะ เพราะเป็นทริปพาแม่เที่ยว เลยไปแค่ 9 วัน 7 คืน (นับแบบทัวร์คือรวมวันเดินทางจากไทย) ถ้าไปดูตามทัวร์ซาอุที่ขายกัน ก็จะสั้นกว่านี้หน่อย แต่อยู่ Al Ula แค่วันเดียว ส่วนของนัท อยากไป Al Ula เลยอยู่ 2 คืน แต่ไม่ได้ไป เมดีนา (มะดินะห์) ซึ่งเป็นเมืองที่ทัวร์ซาอุส่วนใหญ่พาไปค่ะ ยังไงทุกคนลองจัดตามความสนใจของตัวเองดูนะคะ

ตัวอย่างแผนการเดินทาง

Day 1 : ไฟลท์การบินไทย และ Saudia บินไปถึงกลางดึกทั้งสองสายการบินเลย วันนี้เลยเป็นวันเดินทางจากไทย ใช้เวลาบินประมาณ 8 ชม. ไปถึง ผ่านตม. แป้ปเดียวไม่ได้ถามอะไร เช่ารถ ขับเข้าโรงแรมก่อนเลยค่า
Stay : Ibis Jeddah City Centre

Day 2 : เที่ยวเมือง Jeddah วันแรก วันนี้ไป Al Tayebat International City, ถนนเลียบทะเล Corniche แล้วก็บินไป Al Ula ตอน 17.35 – 19.00 น. ค่ะ ไปถึงก็เช่ารถขับไปที่พักเลย
Stay : Habitas Al Ula

Day 3 : เที่ยว Al Ula ไป Hegra โบราณสถานนาบาเทียนที่เป็นอารยธรรมเดียวกับเพตรา, เดินเล่นในเมืองเก่า Al Ula, กลับมาพักผ่อนที่ที่พัก เพราะมีอะไรให้ทำเยอะค่ะ ตอนเย็นไป Maraya ที่เป็นอาคารกระจกกลางทะเลทราย แล้วก็ทานอาหารที่ Maraya Social ในนั้นเลยค่ะ
Stay : Habitas Al Ula

Day 4 : ช่วงเช้า ชิลล์อยู่ที่โรงแรม เช็คเอาท์บ่ายโมง ไปเดินเล่นที่ Al Jadidah จากนั้นก็ไปขับรถเที่ยวชมทะเลทราย แล้วไปหินช้าง ตอนเย็นไป จุดชมวิว Harrat View Point ดูพระอาทิตย์ตก แล้วขับไปสนามบินค่ะ บินจาก Al Ula – Riyadh 21.20 – 23.00 น.
Stay : Grand Plaza Gulf Hotel Riyadh

Day 5 : จริงๆ ที่แพลนไว้ช่วงเช้า นัทจะไป Murabba Palace และ ป้อม Masmak แต่นัทไปเจออากาศหนาวมากๆ ที่ Al Ula มาเลยป่วยค่ะ วันนี้เลยนอนพักที่โรงแรมทั้งเช้าเลย ช่วงบ่ายไป Edge of the World ที่เป็นเหมือนสุดขอบโลกค่ะ
Stay : Grand Plaza Gulf Hotel Riyadh

Day 6 : วันนี้ของนัทเป็นวันศุกร์ ทุกอย่างปิดช่วงเช้า แต่ทุกวันศุกร์ตามโรงแรมจะมี Friday Brunch (แล้วเค้าก็ไม่มี sunday brunch นะ) นัทเลยไปบรันช์แบบชิลล์ๆ ที่ Mandarin Oriental Riyadh ค่ะ จากนั้นก็กลับไปเก็บป้อม Al Masmak แล้วก็ไป Kingdom Center ชมวิวมุมสูง
Stay : Grand Plaza Gulf Hotel Riyadh

Day 7 : เที่ยวเมืองเก่า Diriyah จุดกำเนิดประเทศซาอุดิอาระเบีย จากนั้นก็บินจาก Riyadh – Jeddah เวลา 16.35 – 18.35 น. วันนี้ไปดูน้ำพุ King Fahad น้ำพุที่สูงที่สุดในโลก
Stay : Ibis Jeddah City Centre

Day 8 : เที่ยว Jeddah อีกวันค่ะ ช่วงเช้าไป Al-Balad เป็นย่านเมืองเก่า เดินตลาด ขับชมประตู Mecca Gate แล้วก็ไปเดินเล่นซื้อของฝากที่ห้าง Red Sea Mall จากนั้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่มัสยิดกลางน้ำ Al Rahma แล้วก็ทานอาหารเย็น ก่อนมุ่งหน้าสู่สนามบินประมาณสามสี่ทุ่ม เช็คอิน ไฟลท์กลับไทย 00.10 น. ค่ะ

Day 9 : ถึงไทยเที่ยงค่ะ


ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ

1. ค่าตั๋วเครื่องบิน นัทแลกไมล์ไป แต่เช็คตั๋วอยู่ที่ประมาณ 24,000 – 27,000.- สำหรับอีโคค่ะ
เทียบราคาตั๋วเครื่องบินและจอง นัทแนะนำ Skyscanner.com ไม่ก็ Trip.com << คลิ๊กได้เลยนะคะ

2. ค่าเดินทาง : ไฟลท์ในประเทศ ไฟลท์เข้าออก Al Ula แพงค่ะ อยู่ประมาณสี่ห้าพัน, ไฟลท์ Riyadh-jeddah ประมาณสามพัน = 13,000.-

3. ค่าเช่ารถ : นัทหาได้ 1700 – 2500 ตีคร่าวๆ 2000*8 = 16,000.- หารสี่ = 4,000.-
นัทหารถจาก Rentalcars.com นะคะ << คลิ๊กที่นี่ได้เลย

4. ค่าวีซ่า : 8,500.-

5. ค่าที่พัก : Habitas Al Ula คือไฮไลท์เลย ราคาสูงหน่อย คือละ 35,000 สองคืน หารสอง = 35,000.-
ส่วนโรงแรมที่ Jeddah กับ Riyadh ตกคืนละ 2000-3000 ต่อห้องค่ะ หารแล้วตกคนละ 8,000.- สำหรับ 5 คืน

ทางไปจอง >> Ibis Jeddah City Centre  ||  Habitas Al Ula  ||  Grand Plaza Gulf Hotel Riyadh

6. ค่าทัวร์ ของนัทมีทัวร์ Hegra กับ Edge of the world เป็นทัวร์ส่วนตัวทั้งสองอัน หารสี่ ตก 6,500.- แล้วก็มีค่าเข้า Tayebat 700.- = 7,200.-

7. ค่าเบ็ดเตล็ด อาหาร น้ำมันรถ ของฝาก นัทกะค่าอาหารไว้วันละ 2,000 ต่อคนต่อวัน ตก 14,000.-

สรุปของนัทตกแสนกว่าๆ แต่ว่าถ้าใครจะประหยัดก็พักที่อื่นที่ไม่ใช่ Habitas ก็ได้นะคะ ใน Al Ula มีอีกหลายโรงแรมถ้าพักที่ที่คืนละหมื่น ก็จะตกราวๆ เก้าหมื่นบาทค่ะ


สำหรับรีวิวเที่ยวซาอุดิอาระเบียด้วยตัวเอง นัทแบ่งเป็น 5 ตอนนะคะ

ตอนที่ 1 : ข้อมูลทั่วไป ทุกอย่างที่ควรรู้ แผนการเดินทาง

ตอนที่ 2 : เที่ยว Jeddah

ตอนที่ 3 : เที่ยว Al Ula Part 1

ตอนที่ 4 : เที่ยว Al Ula Part 2

ตอนที่ 5 : เที่ยวเมืองหลวง Riyadh


หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า

 




ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: