[เที่ยว ซาอุดิอาระเบีย ด้วยตัวเอง Ep.5] เที่ยว ริยาดห์ (Riyadh) เที่ยวเมืองหลวงซาอุ และ ยืนที่ขอบโลก Edge of The World

มาถึงซาอุดิอาระเบียแล้ว ถ้าไม่มาเมืองหลวงอย่าง ริยาด (Riyadh) ก็คงเหมือนมาไม่ถึง ริยาดเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของซาอุดิอาระเบีย อยู่ค่อนมาทางตะวันออกของประเทศนะคะ เมืองอื่นที่เราไปมาในตอนก่อนๆ จะอยู่ทางตะวันตกหมดเลย เมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นของประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน ที่เที่ยวส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของประเทศ วัฒนธรรมอิสลาม ตึกสูงต่างๆ และ ผาสุดลูกหูลูกตาที่ทำให้เราเหมือนยืนอยู่สุดขอบโลก


ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเที่ยวริยาด

– เมืองนี้ ถือว่าอยู่บนทะเลทราย An-Nafud ซึ่งในฤดูร้อนนั้น ร้อนมากๆ มากกว่าสี่สิบองศาค่ะ และมีฤดูที่อากาศเย็นประมาณ 3-4 เดือน แต่อุณหภูมิดร็อปลงไปเยอะค่ะ ตามตารางจะเฉลี่ย 8-28 องศา แต่วันที่นัทไปคือ 11-14 องศา แล้วลมแรง หนาวทั้งวัน

– สามารถเช่ารถขับได้เหมือนเดิม แต่ด้วยความที่ตอนนัทไปติดต่อรับรถเช่าที่สนามบิน ระบบล่ม ก็เลยเปลี่ยนใจนั่งแท็กซี่แทน ใช้ Uber แทนค่ะ ก็โอเคนะคะ สะดวกดี ไม่ต้องหาที่จอดรถด้วย อย่างไรก็ตาม ขับรถที่ริยาดกับเจดดาห์นี่ต้องคนขับคล่อง ใช้สกิลประมาณนึงเลยค่ะ

– สำหรับการเที่ยวเมืองริยาด นัทแพลนไปเก็บจุดสำคัญไว้ดังนี้ค่ะ

– Murabba Palace
– Masmak Fortress
– Al Rajhi Mosque
– Al Faisaliah Tower
– Kingdom Tower
– Ad Diriyah**
– Edge of the World

แต่พอดีว่า นัทป่วยจากอากาศที่หนาวมากๆ ที่เมือง Al Ula ทำให้ต้องนอนพักอยู่ที่โรงแรม เลยตัดโปรแกรมเที่ยวออกไปหนึ่งวัน ทำให้เราไม่ได้ไป Murabba Palace และ Diriyah ค่ะ ซึ่ง Diriyah นี่นัทเสียดายมากๆ อยากไปมาก เพราะเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างประเทศ และเป็นเมืองเก่าที่เป็นมรดกโลกค่ะ เท่าที่ศึกษามา ทางซาอุได้พัฒนาพื้นที่รอบๆ ให้เป็นสวนสาธารณะ และ มีร้านอาหาร คาเฟ่ แกลเลอรี่งานศิลปะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวครบเลย ถ้ามีโอกาสคงกลับไปค่ะ

– ดีเทลอื่นๆ ของการเดินทางในทริปนี้ เขียนไว้ในตอนแรกแล้วนะคะ ไปอ่านได้เลย >> [เที่ยว ซาอุดิอาระเบีย ด้วยตัวเอง Ep.1] 


ที่พักในริยาด

นัทว่าที่พักที่สะดวกคือแถว Financial District ค่ะ ส่วนตัวนัทพักที่ Grand Plaza Hotel – Gulf Riyadh ซึ่งอยู่เลยมาหน่อย ใช้ได้เลยนะคะ ห้องใหญ่ สะอาด เรียกรถไปไหนก็สะดวก

นัทว่า โรงแรมที่เป็นเครือที่เรารู้จักส่วนใหญ่จะอยู่ range ราคาประมาณ 6000-7000 บาทต่อคืนค่ะ นัทคัดอันที่รีวิวดี อยู่ในโลเคชั่นที่สะดวกแน่นอนมาให้แล้วนะคะ ลองเลือกดู กดที่ลิงค์ได้เลยนะคะ เพราะบางโรงแรมมีหลายสาขา เดี๋ยวจะหลุดไปอยู่ไกล

Novotel Riyadh Al Anoud
Hilton Garden Inn Riyadh Financial District
Crowne Plaza Hotel Riyadh Minhal, an IHG Hotel
Courtyard by Marriott Riyadh Northern Ring Road

ถ้าราคาประหยัดหน่อยประมาณ 3000 บาทต่อคืน จะมี Ewaa Express Hotel – Al Olaya กับ Ewaa Express Hotel – Khurais คล้ายๆ ไอบิสค่ะ

แล้วก็จะมีโรงแรมหรูแบบตำนานไปเลย นัทว่าถ้าใครอยากจัดเต็ม ไหนๆ ก็มาซักครั้งในชีวิต ก็ต้องสองโรงแรมนี้ เพราะทั้งสองอยู่ที่ตึกที่เป็นแลนด์มาร์กของริยาดกันคนละอัน แล้วนัทมีโอกาสไปทั้งสองที่ บริการดีมากกกกก ทรีทเราเป็นเจ้าหญิงของจริง และด้านในสวยค่ะ

Four Seasons Hotel Riyadh
Al Faisaliah Hotel, Riyadh by Mandarin Oriental

คลิ๊กที่ชื่อโรงแรมเพื่อเช็คราคาโปรโมชั่นและจองได้เลยนะคะ


Masmak Fortress

เริ่มจากที่เที่ยวในเมืองก่อนนะคะ ซึ่งป้อม Al Masmak นี่จะอยู่ใกล้กับตลาด Souk ที่ใหญ่ของเมือง ให้บรรยากาศเมืองฝั่งเก่าฟีลพระนคร นอกจากป้อมก็จะมีพระราชวังที่เราไม่ได้ไป แถวนี้รถค่อนข้างติดและไม่ค่อยมีที่จอดรถค่ะ

พูดถึงป้อม Masmak ก็เป็นป้อมปราการที่มีความสำคัญในการรวมประเทศและก่อตั้งซาอุดิอาระเบีย ภายในป้อมแห่งนี้ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สามารถเข้าชมได้ฟรี และจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของการสร้างชาติค่ะ เพราะ ราชวงค์ Al Saud นั้น ถือว่าก่อตั้งในช่วงปี 1727 แถวๆ Diriyah (ที่เราไม่ได้ไป) จากนั้น ก็ถูกรุกรานโดยออตโตมัน ตีคืนมาได้ มีอีกราชวงศ์ชื่อ Al Rasheed มาตี แล้วก็โดนออตโตมันตีไปอีกครั้ง แต่สุดท้าย จบที่ปี 1902 กษัตริย์ Abdul Aziz มายึดริยาดและป้อมคืนสำเร็จ รวมประเทศจากสี่ภูมิภาคได้สำเร็จ


Al Rajhi Mosque

มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองริยาดค่ะ มัสยิดนี้ เป็นมัสยิดที่เพิ่งสร้างเสร็จและเปิดในปี 2004 และกลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงริยาด ด้วยการออกแบบที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ และสามารถจุคนได้ถึง 20,000 คนเลยทีเดียวค่ะ

ตอนที่นัทหาข้อมูลมา ส่วนใหญ่จะบอกว่า เราไม่สามารถเข้าไปได้ แต่ตอนที่นัทไปถึง ก็มีคนมาชี้ๆ ว่า ให้ติดต่อไปที่ Cultural Tour นะ สามารถเข้าไปชมข้างในได้ นัทจึงลองติดต่อไปตอนนั้นเลยค่ะ ปรากฎว่า สามารถเข้าชมได้จริงๆ แต่ต้องเข้าไปกับทางไกด์ที่เค้าจัดการ ซึ่งเค้าจะเตรียมชุดอาบาย่าและผ้าคลุมทุกอย่างให้เราค่ะ จากนั้น เค้าก็จะพาไปชมการละหมาด ซึ่งนัทเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่า นี่คือครั้งแรกในชีวิต ที่เคยเห็นการละหมาดในชีวิตจริง

ไกด์ เคารพเราซึ่งเป็นคน non-muslim มากๆ นะคะ และนัทมีอะไรสงสัย ก็ถามเค้าไปหมดเลย ถือว่าทำให้เราได้เข้าใจมุมมองของเค้าเยอะมากๆ ค่ะ ติดต่อไปทางนี้นะคะ https://hadyyah.com/en/al-rajhi-mosque-tour/ ทัวร์ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ งานเผยแผ่วัฒนธรรมจริงๆ ซึ่งนัทเป็นคนอยากรู้อยากเห็นวัฒนธรรมทั่วโลกอยู่แล้วค่ะ


Friday Brunch at Al Faisaliyah Hotel (Mandarin Oriental)

อย่างที่พูดถึงไปในตอนแรกสุด ที่แนะนำให้ทุกคนรู้จักกับซาอุดิอาระเบีย ว่า สุดสัปดาห์ของเค้าคือ วันศุกร์และวันเสาร์ และเริ่มทำงานใหม่ในวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสค่ะ ซึ่งวันศุกร์เป็นวันหยุดจริงๆ หยุดแบบ ร้านค้า ห้างใหญ่ ร้านอาหาร สถานที่เที่ยว ทุกอย่างปิดหมดเลยยยย เหลือแค่พวกโรงแรมค่ะ ถ้าใครมาตรงกับวันศุกร์ ยังไงก็ไม่มีที่เที่ยวจนถึงประมาณบ่ายสี่โมงค่ะ

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แอบเป็นเทรนด์เหมือนกัน นั่นก็คือ Friday Brunch ค่ะ เหมือนพวกซันเดย์บรันช์บ้านเราเลย โรงแรมห้าดาวเกือบทุกแห่งจัดหมด วันนี้ นัทเลือกมาทานที่ Al Faisaliyah Hotel (ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็น Mandarin Oriental แล้วนะคะ ในเว็ปเป็นโอเรียนเต็ลแล้ว) อาหารทะเล เนื้อ ออยสเตอร์ ข้าวอบ ขนมหวานสไตล์อาหรับ ทุกอย่างจัดเต็มมากกกก มีต้มยำกุ้งรสชาติดี ถูกใจคุณแม่สุดๆ ทุกอย่างไม่อั้นเลยค่ะ บริการดีมากกก มาถามไถ่เสิร์ฟเครื่องดื่ม เติมของให้ที่โต๊ะตลอดเลยค่ะ

ส่วนอาคาร Al Faisaliyah Tower เป็นอีกหนึ่งอาคารที่โดดเด่นบนถนนเส้นหลักของริยาดนี้ค่ะ ตึกจะเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมขึ้นไป มีความสูง 267 เมตร ซึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนเคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในซาอุดิอาระเบียค่ะ


Kingdom Centre

เนื่องจากนัทขึ้นไปชมวิวจากตึก Kingdom Centre นัทเลยไม่มีรูปตึก Kingdom Centre มาให้ชมค่ะ แต่อาคารแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้า และ โรงแรม Four Seasons ค่ะ

ส่วนความพิเศษของตึกนี้คือ ณ ขณะนี้เป็นตึกสูงอันดับห้าของประเทศ แต่เป็นตึกที่มีรูตรงกลางที่สูงเป็นอันดับสามของโลกค่ะ

คำว่ามีรูตรงกลางนี่ต้องไปลองเสิร์ชรูปตึกนี้ดู จะเห็นว่า ด้านบนมี Sky Bridge เชื่อมชั้นบนสุดบนชั้น 99 ค่ะ ซึ่งตรงนั้น สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปชมวิวได้ ส่วนด้านล่างของ Sky Bridge จะเป็นช่องโล่งๆ ค่ะ

และนี่คือวิวจากด้านบนค่ะ ค่าขึ้นอยู่ที่ 69 SAR นะคะ

ในภาพด้านล่างจะเห็นอาคารยอดแหลมไฟสีเขียว นี่คือ Al Faisaliah Tower ที่เราไปทาน Friday Brunch มาค่ะ


Edge of the World

สำหรับไฮไลท์ของริยาด นัทว่าต้องให้ที่นี่ค่ะ เค้าเรียกว่า Edge of the World แปลตรงตัวว่า “ขอบโลก” และใช้ชื่อในภาษาท้องถิ่นว่า Jebel Fihrayn ที่นี่ใช้เวลาขับรถจากแถวในเมืองไปประมาณชั่วโมงนิดๆ โดยประมาณครึ่งชั่วโมงหลังเราจะต้องลุยทางที่ต้องใช้รถโฟร์วีลเข้าไปเท่านั้นค่ะ

ผานี้น่าจะเกิดจากการเคลื่อนชนกันของแผ่นโลกตรงคาบสมุทรอาระเบียตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ และยังมีการพบซากฟอสซิลอยู่ค่ะ ตอนเราไปถึง ทัศนียภาพตรงนี้หน้าตื่นตามากๆ จะว่าเหมือนแคนยอนที่อื่นก็ไม่ใช่เพราะไม่ได้เป็นร่องหิน คือเป็นขอบจริงๆ แล้วหายลงไปเลย แล้วกว้างแบบสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ ยาวไปแบบเหมือนไม่มีจบ

ตรงนี้ นัทใช้ทัวร์นะคะ เค้ามาจอดตรง จุดนี้ แล้วปล่อยให้เดินค่ะ แอบตอบเมสเสจช้านิดนึง แต่ตอนไปทั้งหมดก็โอเคค่ะ จองที่นี่ >> Viator.com

บางคนบอกว่า ขับไปเองได้ นัทคิดว่า ต้องมีประสบการณ์ในการขับโฟร์วีลหน่อย เพราะว่ามันมีจุดที่ขึ้นลงร่องหินแบบลึกนิดนึงประมาณ 3-4 ครั้ง นอกนี้แค่ถนนขรุขระค่ะ ตามรอยล้อไปค่ะ ส่วนจุดที่ปักไว้ในกูเกิ้ลมันจะมีอยู่ประมาณ 2-3 ทาง ตรงนั้นไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต นัทเลยปักมาให้ไม่ได้ว่าตรงที่ไกด์จอดเป๊ะๆ คือตรงไหน

ตอนขากลับก็จะมีแวะแคมป์และเค้าจะทำดินเนอร์รอบกองไฟให้ทานค่า


Myazu Restaurant

ต้องบอกว่า ในริยาดมีร้านอาหารดังๆ จากฝั่งยุโรปและอังกฤษมาเปิดค่อนข้างเยอะเลยค่ะ แต่ว่าร้านนี้ เป็นร้านที่ถือกำเนิดที่ริยาด และได้รับรางวัล Middle East North Africa’s 50 Best Restaurants โดยอยู่ที่อันดับที่ 18 ค่ะ เลยทำให้ร้านนี้เป็นร้านที่ดีที่สุดในซาอุ ถ้านับตามลิสท์ค่ะ ซึ่งลิสท์ 50 Best นี่ก็คือลิสท์เดียวกับที่ให้รางวัลในเอเชียเลย

ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์โมเดิร์นโดยเชฟ Ian Pengelley โดยรวมต้องบอกว่า ด้วยความที่เราอยู่เมืองไทยและหาอาหารญี่ปุ่นทานได้ไม่ยาก แม้แต่สไตล์นี้เองก็ยังหาทานได้ เพราะมีความคล้ายกับร้าน Zuma ซึ่งมีที่ราชดำริ ไม่ก็พวก Roka หรือ Nobu ที่ดังทั่วโลกอะไรแนวนี้ ซึ่งจริงๆ อร่อยเลยนะคะ รสชาติดี ครีเอทีฟดี แต่เพราะค่าครองชีพที่ริยาดสูงหน่อย ก็เลยอาจจะรู้สึกว่า ทานที่ลอนดอนคุ้มกว่า

แต่ถ้าใครอยากลองมาเช็คอินร้านอันดับที่ 18 ของลิสท์ แต่แฮงค์เอาท์ในบาร์สวย (ไม่มีแอลกอฮอลล์นะคะ) อาหารถูกปากแน่นอน บรรยากาศดี ที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากค่ะ


สรุปสุดท้าย และนี่คือความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ… นัทไม่แน่ใจว่าคนอื่น มีมุมมองต่อชาวมุสลิมในตะวันออกกลางหรือชาวซาอุ อย่างไรกันบ้าง แต่ว่าถ้าเอาเท่าที่นัทได้สัมผัสเลย ที่นี่เป็นที่ที่คนค่อนข้างเปิด และ สุภาพ (ภาษาชาวบ้านคือ เค้ามีความผู้ดีมากๆ เลยค่ะ) อาจจะเป็นที่สถานที่ที่นัทไปด้วยนะคะ ซึ่งโดยรวมค่อนข้างเซอร์ไพรส์ประมาณนึงเลย

เท่าที่เคยไปมา ประเทศมุสลิมหลายประเทศ ผู้หญิงมักจะไม่ค่อยออกนอกบ้าน ดังนั้น เวลานัทไปเที่ยว หรือ เดินตามถนน มักจะโดนมองจ้องหนักมาก เมื่อก่อนก็เคยรู้สึกกลัวว่า ทำไมต้องมาจ้องกันขนาดนี้ หลังๆ ใครจ้อง นัทมีเวลาก็เข้าไปถามเลย.. บางทีก็ได้ความว่า มองด้วยความสงสัยว่า ผู้หญิงมาเดินคนเดียว ไม่มีผู้ชายมาด้วยได้ยังไง เพราะในวัฒนธรรมและมายด์เซ็ทเค้า ผู้หญิงจะออกบ้านต้องมีผู้ชายไปด้วย เลยมองด้วยความสงสัยและไม่ชิน << ซึ่งอันนี้ ส่วนใหญ่นัทจะเจอตามย่านท้องถิ่น (ที่ไม่ใช่จุดท่องเที่ยวหลัก) ในประเทศอย่าง จอร์แดน มัลดีฟส์ ปาเลสไตน์ บาห์เรน ตุรกี… แต่ทุกที่ที่กล่าวมา คุยๆ ไป คือคนใจดีทุกที่เลยค่ะ —- ซึ่งมาซาอุก็เตรียมใจมาแล้ว ว่าโดนมองแน่นอน สรุป อยู่ที่นี่ไม่โดนมองหรือจ้องเลยยยย และถ้าเป็นจังหวะที่มีโอกาสได้คุยกับคนท้องถิ่นจริงๆ เช่น ลูกค้าที่มาซื้อของที่ร้านเดียวกัน หรือ ตอนยืนรออาหารในฟู้ดคอร์ท ฯลฯ ทุกคนคือคุยด้วยความสุภาพมาก และดีใจมากที่เราไปเที่ยวประเทศเค้า แถมไม่ทำให้เรารู้สึกแปลกแยกด้วยค่ะ โดยรวมคือประสบการณ์ตลอดทริป ดีมากๆ


สำหรับรีวิวเที่ยวซาอุดิอาระเบียด้วยตัวเอง นัทแบ่งเป็น 5 ตอนนะคะ

ตอนที่ 1 : ข้อมูลทั่วไป ทุกอย่างที่ควรรู้ แผนการเดินทาง

ตอนที่ 2 : เที่ยว Jeddah

ตอนที่ 3 : เที่ยว Al Ula Part 1

ตอนที่ 4 : เที่ยว Al Ula Part 2

ตอนที่ 5 : เที่ยวเมืองหลวง Riyadh


หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า

 




ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: