รีวิว 10 พิพิธภัณฑ์ ใน ปารีส สำหรับคนรักศิลปะและประวัติศาสตร์
เชื่อว่า ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ปารีส” เป็นแหล่งรวมงานศิลปะชั้นยอดและพิพิธภัณฑ์ชั้นนำของโลก ซึ่งใครที่รักศิลปะและประวัติศาสตร์ คงพลาดไม่ได้ที่จะมาเยือน กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กันซักครั้งในชีวิต วันนี้ Eat Chill Wander เลยขอรวบรวม 10 พิพิธภัณฑ์ในปารีส สำหรับคนรักศิลปะและประวัติศาสตร์ มาฝากค่ะ!
แม้ปารีสอาจจะไม่ใช่เมืองที่เก่าที่สุด และไม่ได้มีโบราณสถานเด่นๆ จากยุคโบราณ (Ancient Era) แต่ที่ปารีสนั้น มีของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์อยู่นับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะได้มา ซื้อมา หรือ ล่าอาณานิคมมาก็ตาม ทำให้ปารีสเหมาะมากๆ ที่จะมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์โลก
ในรีวิวนี้ นัทเลยตั้งใจพามาทวนวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเคยเรียนตอนเด็กๆ ด้วยการเที่ยวปารีส – ซึ่ง 10 ที่ที่จะพาไป ไม่ได้เรียงตามแผนการเดินทางนะคะ แต่ตั้งใจเรียงตามยุคของไฮไลท์ที่เราจะไปชมในแต่ละที่ เพราะเวลาที่เราค่อยๆ ดูงานในแต่ละยุคไป เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวทางสังคมและศิลปะในแต่ละยุคอย่างชัดเจนมากๆ ค่ะ
บอกเลยว่า วิชาประวัติศาสตร์ กลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาเลย!
Paris Museum Pass
ครั้งนี้ เราพาไป 10 พิพิธภัณฑ์ ซึ่งพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ในปารีส จะมีค่าเข้าจะเริ่มตั้งแต่ 12 ไปจนถึง 18 ยูโรค่ะ บอกเลยว่า ถ้าไม่ใช้ Museum Pass ค่าตั๋วรวมกันคือประมาณ 140 Euro คิดเป็นเงินไทย ประมาณห้าพันบาท แต่นัทจ่ายไปแค่สองพันกว่าบาทเท่านั้นค่ะ
บัตร Paris Museum Pass จะมีจำหน่ายแบบ 2 วัน (48 hrs), 4 วัน (96 hrs), 6 วัน (144 hrs)
ถ้าใครมีแผนจะไป พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, พระราชวังแวร์ซายส์, Musee d’Orsay อยู่ในแผนอยู่แล้ว ซื้อแบบ 2 วันก็คุ้มราคาแล้วค่ะ
ทางไปจอง >> ซื้อ Paris Museum Pass คลิ๊กที่นี่
มิวเซียมพาสนี้ ใช้เข้าได้กว่า 50 สถานที่เลย ใช้จ่ายมากๆ ข้อดีคือ รวดเร็ว ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วแต่ละที่ที่ไป และหลายๆ ที่มีช่องให้ผู้ถือ Museum Pass เข้าเลย เรียกว่าทุกที่ที่ไปมา ไม่มีที่ไหนต้องรอคิวเลยค่ะ
หน้าตามิวเซียมพาสค่ะ อันนี้นัทซื้อผ่าน Klook.com แล้วเอา voucher ในแอพไปแลกพาสจริงที่ร้าน Big Bus แถวหน้าลูฟร์ ค่ะ (ตอนนี้ ที่อ่านมาจะสามารถถือตั๋ว e-ticket แสดงตามพิพิธภัณฑ์ได้เลย ไม่ต้องไปแลกตั๋วจริง)
จริงๆ มันมีสิ่งที่เรียกว่า Museum Free Day/Free Night อยู่นะคะ เช่น Musée d’Orsay ฟรีทุกๆ วันอาทิตย์แรกของเดือน แต่มันจะยากมากที่จะวางแผนไปฟรีให้ได้ครบทุกที่ในสัปดาห์เดียวค่ะ
วางแผนเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในปารีส
ตอนที่ไปเที่ยวจริง เวลาวางแผนว่าแต่ละวันจะไปไหน ก็จะมีปัจจัยหลายอย่างค่ะ เช่น พักแถวไหน มีจองร้านอาหารไว้แถวไหน ฯลฯ ซึ่งในโพสท์นี้ นัทเรียงตามยุคของไฮไลท์ที่จัดแสดง ไม่ได้เรียงตามโปรแกรมเที่ยวนะคะ ถ้าให้แนะนำ ก็จะให้เก็บที่ละโซน โดยเก็บที่ที่ใช้พาสเข้าได้ก่อน สมมติ ไป 4 วัน ก็ซื้อพาส 2 วัน เก็บของในพาสก่อน แล้วอีกวันค่อยไปเก็บที่ฟรีอื่นๆ เช่น Eiffel, Montmartre, สวนต่างๆ ฯลฯ หรือถ้าไป 6-7 วัน ก็ซื้อพาส 4 วัน จะช่วยประหยัดและคุมงบได้ง่ายค่ะ
ตัวอย่าง
Day 1 : เริ่ม Louvre หาอะไรทานใกล้ๆ เดินเล่นเลาะสวนมา Musee de L’Orangerie สามารถเดินเล่นบน Champs-Élysées ไปจบที่ประตูชัย หรือจะนั่ง Metro สาย 1 ห้าป้ายถึงประตูชัย ชมวิวเมืองปารีสตอนพระอาทิตย์ตกก็ได้ค่ะ *แพลนนี้เดินเยอะมาก แต่เดินกันมาหลายคนแล้วค่ะ*
Day 2 : เดินเล่นแถว Latin Quarter ไป Pantheon ก่อน (เพราะอยู่บนสุดของเนิน) แล้วค่อยๆ เดินเล่นลงมา ชม Notre-Dame, Sainte-Chapelle เส้นนี้มีคาเฟ่น่ารักเยอะมาก ที่ดังๆ ก็จะมี Shakespeare & Company จะข้ามไป Marais ดู Musée Picasso ก่อน แล้วตอนเย็นๆ ไป Centre Pompidou ดูวิวพระอาทิตย์ตกจากชั้นบนก็ได้ค่ะ
Day 3 : ช่วงเช้าไป Musee d’Orsay, Rodin Museum ถ้ามีเวลาเหลือก็แวะไป Invalides ได้ ช่วงบ่ายไป Chateau de Fontainebleau
Day 4 : ไปเที่ยวเมือง Versailles รวมถึงพระราชวังทั้งวัน
ถ้าตามแพลนนี้คือแอบยัดหน่อย แต่คุ้มแน่นอนค่ะ ยังมีอีกหลายที่ที่นัทอยากไปดูและไม่ทันเช่นกัน
แต่มันก็มีบางที่ที่ไม่อยู่ในพาสนะคะ เช่น Opera Garnier, Muséum national d’histoire naturelle, LVMH Foundation จะไม่อยู่ในพาสค่า
หมายเหตุ – ในโพสท์นี้ เราเน้นไปทางศิลปะตะวันตก แต่อย่าลืมว่าในปารีสนั้น ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บงานจากโลกตะวันออก อาทิเช่น Guimet, Musée du quai Branly ที่ใช้พาสเข้าได้เช่นกันค่า
**อย่าลืมเช็ควันหยุดของแต่ละสถานที่ด้วยนะคะ**
1. Louvre Museum (พิพิธภัณฑ์ลูฟร์)
9 am – 6 pm / ปิดทุกวันอังคาร / จองสล๊อตเวลาล่วงหน้าก่อนเข้าชม
เราขอเริ่มที่แรกที่ลูฟร์ค่ะ เพราะเป็นมิวเซียมสำคัญ และเก็บของโบราณเยอะมากเรียกได้ว่ามาเรียนรู้วัฒนธรรมมนุษย์คร่าวๆ ได้เลย
เวลาเราเรียนประวัติศาสตร์ เราจะเริ่มจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ (pre-historic) ซึ่งลูฟร์มีห้องที่เก็บของเก่า และชิ้นที่เก่าที่สุดมีอายุประมาณ 7000 ปี
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (แอสซีเรีย, บาบิโลเนีย), เปอร์เซีย, อียิปต์, กรีกโบราณ, โรมันโบราณ ทั้งหมดที่อยู่ในหนังสือเรียน มีวัตถุ งานศิลปะ ต่างๆ ให้ชมค่ะ ทั้งเครื่องประดับ รูปปั้น สฟิงส์ มัมมี่ จารึก เครื่องถ้วยต่างๆ
แม้แต่ประมวลกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก็ไปชมได้ที่นี่ค่ะ เป็นกฎหมายแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ที่ทำให้เราเห็นถึงพัฒนาการของสังคมมนุษย์ค่ะ
เราเริ่มเดินมาเรื่อยๆ ก็จะเข้าสู่ยุคกลาง จนมาถึงไฮไลท์ของยุคเรเนซองส์ อย่าง โมนา ลิซ่า / จากห้องก่อนโมนาลิซ่า จะเป็นงานยุคกลาง ที่เน้นเรื่องศาสนา วาดตามลูกค้าซึ่งมักเป็นตระกูลใหญ่ๆ สั่ง แต่ภาพจะยังแบนอยู่ค่ะ ให้ดูห้องนี้ไว้ แล้วเจนถัดมาคือ เจนในห้องเรเนซองส์เลย เราจะเห็นเลยว่า ทำไมเค้าถึงเรียก ‘Renaissance’ หรือ ยุคฟื้นฟูวิทยาการ ค่ะ วิธีเขียนภาพคือเปลี่ยนไปเลย
ที่ลูฟร์ มีจิตกรรมให้ชมมาจนถึงยุค Neo-Classicism และ Romanticism เลยค่ะ (ต้น 1800s) แล้วพอหลุดจากยุคนี้ไปแล้ว เราก็จะไปชมภาพเขียนเหล่านี้ในยุคต่อไปกันได้ที่ Musee d’Orsay (ข้อ 7) ค่ะ
หากเช่า Audio Guide ก็จะได้ทราบเรื่องราวเบื้องหลังของแต่ละภาพ ซึ่งนอกจากเราจะรู้ว่าภาพนั้นเล่าเรื่องอะไรแล้ว เรายังเห็นวิธีคิดและมุมมองของผู้คนต่อสังคมในยุคต่างๆ อีกด้วยค่ะ
Musée du Louvre หรือ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ เป็นเจ้าของงานศิลปะและของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์กว่า 380,000 ชิ้น และนำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ครั้งละมากกว่า 35,000 ชิ้น นั่นหมายความว่า ถ้าเราใช้เวลาดูของทุกชิ้นโดยให้เวลา 20 วินาทีต่อ 1 ชิ้น เราจะต้องมาลูฟร์ตั้งแต่เปิดถึงปิด ติดกันโดยไม่พักราวสองเดือน!!!
เราเลยเลือกไฮไลท์ สรุปเส้นทางเดิน ให้ครอบคลุมและจบได้ใน 2-3 ชม. ไว้ให้ สามารถไปอ่านต่อได้ที่ >> พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre Museum Paris) มีอะไร? พาชม 10 ไฮไลท์ที่คุณไม่ควรพลาด และ ข้อควรรู้ก่อนไปลูฟร์
และเพื่อเป็นการเชื่อมไปยังสถานที่ถัดไป นัทขอพาไปชั้นใต้ดินของลูฟร์ค่ะ ก่อนที่พระราชวังลูฟร์จะถูกสร้างทับขึ้นมาอย่างสวยงามและเป็นที่อยู่ของราชวงศ์ เคยเป็นปราสาทยุคกลาง ในช่วงปี 1190 ค่ะ ซึ่งเราจะยังเห็นซากอยู่ ด้านล่างจะมีอธิบายและมีภาพจำลองให้ชมค่ะ ซึ่งนี่เป็นปราสาทสไตล์ยุคกลาง (Medieval Age) แบบพิมพ์นิยมเลยค่ะ
พูดถึงประวัติศาสตร์ตะวันตกแบบหยาบๆ เลย มันจะแบ่งเป็นยุคโบราณ ยุคกลาง ยุคเรเนซองส์…. ซึ่งยุคกลาง บางสำนักก็เรียกยุคมืด (Dark Age) มันเป็นยุคที่ค่อนข้างไปสนใจสงครามครูเสดกันอยู่ และไม่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการเท่าไหร่ ในความไม่ก้าวหน้านั้น มีสถาปัตยกรรมสไตล์โรมาเนสก์และโกธิคเกิดขึ้นมาในยุคนี้ และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังจะไปดูในสถานที่ถัดไปค่ะ
2. Sainte-Chapelle
9 am – 5 pm / เปิดทุกวัน
เมื่อสักครู่ เราพูดถึงศิลปะแบบ Gothic ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ผู้คนจากทั่วโลกมาชมก็คือ วิหาร Notre-Dame Cathedral แต่ตอนนี้ปิดชั่วคราวหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ค่ะ เราจึงขอให้เดินกลับหลังหันไปอีกซอยนึงใกล้ๆ เป็นที่ตั้งของ Sainte-Chapelle วัดน้อยที่มักถูกมองข้าม
บรรยากาศจากหน้าโบถส์ Notre-Dame ซึ่งตอนนี้ถูกปิดอยู่ค่ะ
Sainte-Chapelle นั้น ได้รวบรวมคาแรคเตอร์ของสถาปัตยกรรมโกธิคจากยุคกลางไว้ให้เราครบเลยค่ะ ถูกสร้างในช่วงปีค.ศ. 1238 – 1248 ถือว่าสร้างเสร็จเรามากๆ
เราจะได้เห็นทุกตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโกธิคเลย ทั้ง Flying Buttress ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในยุคนี้ เนื่องจากต้องการสร้างโบถส์ให้สูงแหลมเสียดฟ้า ใกล้ชิดพระเจ้า เลยต้องมีโครง Flying Buttress มารับน้ำหนักค่ะ เพดาน Vault อันสูงโปร่ง ยอดแหลม แม้แต่การ์กอยล์ ก็มีค่ะ
ส่วนไฮไลท์ของที่นี่คือ กระจกสี Stained Glass ค่ะ ที่สวยงามอลังการอันดับต้นๆ ของโลกแล้วค่ะ
ข้างๆ ของ Sainte-Chapelle จะมี Conciergerie ซึ่งเป็นปราสาทยุคกลางเหมือนกันค่ะ ดังเพราะเป็นคุกที่ไว้ขังพระนาง Marie-Antoinette ซึ่งตรงนั้นก็ใช้ มิวเซียมพาสเข้าได้ค่ะ
หลังจากยุคกลาง หรือ ยุคมืด เราก็จะเริ่มเข้าสู่ยุคเรเนซองส์ ซึ่งจริงๆ ศูนย์กลางทางศิลปะจะอยู่ที่อิตาลี และ ทางแฟลนเดอร์/เนเธอร์แลนด์ ค่ะ มูฟเม้นท์นี้ เกิดขึ้นที่อิตาลีก่อน (ตอนนั้นยังไม่เรียกว่าอิตาลีด้วยซ้ำ) แล้วแผ่อิทธิพลมาที่ฝรั่งเศส อย่างกษัตริย์ Francis I ก็จะอินกับศิลปะเรเนซองส์ค่ะ ถึงขั้นมีการจ้าง Leonardo da Vinci มาทำงานให้… และนั่นทำให้เราพาไปชมสถานที่ถัดไปค่ะ…
3. Chateau de Fontainebleau
9.30 am – 5 pm / ปิดทุกวันอังคาร
ออกจากปารีสมาหน่อยค่ะ แม้ว่าที่นี่จะไม่ได้ดังเท่ากับพระราชวังแวร์ซายล์ แต่เป็นการเที่ยวพระราชวังที่นัทชอบมากๆ เลยค่ะ พระราชวังแห่งนี้ สร้างขึ้นก่อนพระราชวัง Versailles นะคะ มีหลักฐานในการมีอยู่มาตั้งแต่ปีคศ. 1137 แต่การก่อสร้างและตกแต่งที่ชัดเจนที่สุด คือยุค Francis I ที่กำลังอินกับศิลปะเรเนซองส์เลยค่ะ ช่วงปี 1528 – 1547 ตัวพระราชวัง จ้างศิลปินอิตาเลียนมาเยอะเลย มี Grotto (ถ้ำ) แบบเรเนซองส์อิตาเลียน เป็นที่แรกในฝรั่งเศสด้วยค่ะ
(อ้อ ลืมบอกไปว่า ที่ Louvre นั้น เป็นพระราชวังเก่ามาก่อน ตัวอาคารก็จะมีทั้งสไตล์ Renaissance และ Baroque เลยค่ะ)
คำว่า เรเนซองส์ แปลตรงตัวว่า rebirth หรือการเกิดใหม่ค่ะ มันเกิดขึ้นด้วยปัจจัยหลายอย่าง แต่หนึ่งอย่างคือ ศิลปินในยุคนี้ได้ไปเห็น ของกรีก-โรมันโบราณ แล้วตื่นเต้น ถึงขั้นต้องเอาวิทยาการในสมัยนั้นกลับมาฟื้นฟู จนเป็นหนึ่งในยุคที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์โลกค่ะ
อีกหนึ่งความเจ๋งของที่นี่คือ มีการตกแต่ง สร้าง เพิ่มเติม และอยู่อาศัย ยาว 800 ปี ตั้งแต่ค.ศ. 1137-1870 อย่างที่บอกค่ะ แม้งานเรเนซองส์จะทำไว้เยอะเป็นหลัก แต่ก็มีการเพิ่มจากราชวงศ์ที่มาอยู่ต่อในยุคถัดไป ทำให้มีงานหลากหลายสไตล์ แม้แต่สมัยนโปเลียน ก็มีอิทธิพลและมีการตกแต่งเพิ่มเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ
สิ่งที่ชอบมากๆ คือพวกเฟอร์นิเจอร์ค่ะ นัทคิดว่า เพราะนักท่องเที่ยวที่นี่ค่อนข้างบางตา ทำให้มีที่แสดงเฟอร์นิเจอร์เยอะกว่า และชมสะดวกกว่าค่ะ ใครที่จะเข้าวงการซื้อเฟอร์นิเจอร์แอนทีค นัทขอเชิญมาชมตัวอย่างที่นี่ก่อนเลยค่ะ เป็นหนึ่งในที่ได้เห็นรายละเอียดเฟอร์นิเจอร์เยอะมากๆ ค่ะ (ไม่ใช่แวร์ซายล์ไม่มีนะคะ แต่ที่นี่สะดวกกว่าเยอะ)
4. Chateau de Versailles
9 am – 5.30 pm / ปิดทุกวันจันทร์ / จองสล๊อตเวลาล่วงหน้าก่อนเข้าชม
ก่อนหน้านี้ เราชมอาคารยุคกลาง อาคารโกธิค จนมาถึงอาคารเรเนซองส์ ที่เอาความบาลานซ์ ความงดงามแบบกรีกโรมันมาใช้กันไปแล้ว เตรียมพร้อมนะคะ เพราะเรากำลังจะเข้าสู่ยุคถัดไปที่เน้นความเยอะแบบเว่อวังสุดๆ
ตามเข้ามาที่พระราชวังแวร์ซายล์เลยค่ะ อะไรเยอะๆ เว่อๆ ใส่เข้าไป เริ่มมีการเพ้นท์งานแบบ Trompe-l’oeil อย่าง ornament ตกแต่งบางอันนี่ก็เป็นเพ้นติ้ง แต่ดูสามมิติมากๆ
พระราชวังแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นในสมัย 1616 และเมื่อครั้งที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ย้ายเข้ามาในปี 1628 ที่นี่ก็กลายเป็นเหมือนศูนย์ราชการที่ใช้ปกครองฝรั่งเศสไปโดยปริยาย ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ ไม่ได้สำคัญแค่ในเชิง ศิลปะและสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่สำคัญในเชิงเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น รวมถึงการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ที่นี่โด่งดัง และมีนักท่องเที่ยวเยอะขนาดนี้ค่ะ
สำหรับสถาปัตยกรรมของที่นี่จะเป็นรูปแบบ Baroque ค่ะ เราจะเห็นความดูเว่อวัง เส้นสายที่มากขึ้นจากวังยุคก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนเลย มูฟเม้นท์ Baroque จะเกิดขึ้นก่อน Rococo และก็เริ่มมีบางห้อง ที่ถือว่าเริ่มกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสไตล์ Rococo ค่ะ (Rococo มาจากคำว่า Rocaille ซึ่งมันคือเส้นโค้งของเปลือกหอย เส้นจะเลื้อยค่อนข้างอิสระ และไม่สมมาตร)
มองไปตามผนัง เราจะเห็นรูปวาด ซึ่งที่นี่มีผลงานศิลปะอยู่กว่า 60,000 ชิ้นค่ะ มีทั้งงานแบบ Baroque, Romanticism, Neo-classicsm ปี 1600s – 1800s
การมาเที่ยว Versailles นั้น เราสามารถมาได้เป็นวันเลยนะคะ อาจจะออกจากปารีสสายๆ มาแวะซื้อของไปปิคนิคในสวนหลังแวร์ซายล์ก่อน (สวนเป็นสวนสาธารณะ ไม่มีค่าเข้าค่ะ) แล้วแวะไป Petit Trianon วังเล็กพื้นที่ส่วนตัวของ Marie-Antoinette พร้อมสวนด้านหลัง แล้วค่อยกลับมาเข้า พระราชวังหลัก ก็จะค่อนข้างชิลล์เลยค่ะ เพราะจะสวนกับคนทั่วไป และไม่รีบมาก (รูทนี้เดินไกลนะคะ เช่าจักรยานก็ได้ค่า แต่คุณจะได้สัมผัสเลยแหล่ะว่า พื้นที่สวนในวังมันต้องใหญ่อะไรขนาดนี้เลยหรอ)
ขอให้ซึมซับความเว่อวัง เมลืองมลัง ของแวร์ซายล์ให้ดีนะคะ เพราะเรากำลังจะเข้ายุคถัดไป นั่นก็คือ Neoclassicism ค่ะ
5. Pantheon
10 am – 6 pm / เปิดให้บริการทุกวัน
เมื่อกี้เราไปเจอความเว่อออออมากๆ มาแล้ว และมูฟเม้นท์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือ สไตล์ Neoclassic ค่ะ ถ้าเทียบปัจจุบันคงเหมือนคนชอบมินิมอลอ่ะ แบบรู้สึกพอกับการตกแต่งดราม่าเว่อวัง ขอลดมาอยู่ที่ความงามแบบคลาสสิกแบบกรีก-โรมันเหมือนเดิม
ถ้าเดินออกมาจากแวร์ซายแล้วมาต่อที่นี่คือรู้เรื่องเลยค่ะ คนละยุคจริงๆ มูฟเม้นท์นี้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 ซึ่งตัว Pantheon สร้างขึ้นในช่วงปี 1758 – 1790 ค่ะ ตรงนี้เป็นคนละยุคโดยสิ้นเชิงกับ Pantheon ที่โรมนะคะ ของที่โรมคือเก่ากว่าเป็นพันปีและถือว่าล้ำมากในยุคโบราณนั้นค่ะ — ซึ่งจริงๆ คำว่า Neoclassicism เนี่ย Neo แปลว่าใหม่ ก็คือ ดีไซน์คลาสสิคแบบกรีกโรมันในยุคใหม่เนี่ยแหล่ะค่ะ
ตอนแรกถูกสั่งให้สร้างเป็นโบถส์ แต่ภายในตอนนี้ กลายมาเป็น Mausoleum หรือ ที่ฝังศพของนักคิดนักเขียนแถวหน้าของฝรั่งเศส ที่เราต้องเคยเรียนและเคยอ่านงานของเค้า ไม่ว่าจะเป็น Victor Hugo, Jean Jacques Rousseau, Voltaire, Marie Curie ค่ะ
ภายในนี่มีความสมมาตรมากๆ Neoclassical มาก ถ้าใครที่อินกับการมาเดิน Latin Quarter ซึ่งตั้งชื่อจากการที่แถวนี้ จะเป็นย่านมหาวิทยาลัยเก่าแก่อย่าง Sorbonne ที่นักศึกษาพูดภาษาละตินกัน มีนักคิด นักปราชญ์มากมาย ก็ควรแวะเข้ามาด้วยนะคะ จะได้รับพลังเข้าไปอีก!
ระเบียงข้างบน สามารถขึ้นไปชมวิวของปารีสได้นะคะ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ
6. Arc de Triomphe
10 am – 10.30 pm / เปิดทุกวัน
Arc de Triomphe de l’Etoile หรือประตูชัย ถูกสร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1806 – 1836 ค่ะ เริ่มแรกถูกสร้างเพื่อฉลองชัยชนะของนโปเลียนที่ 1 และเป็นงานสไตล์ Neoclassical เช่นกันค่ะ
ประตูชัยนี้ ถ้ามาชมจากรอบๆ ไม่เสียค่าเข้านะคะ แต่มิวเซียมพาสจะสามารถใช้เข้าไปชมวิวข้างบนได้ เดินขึ้นบันได 248 ขั้นค่ะ มีลิฟท์ให้เฉพาะผู้สูงอายุและคนพิการค่ะ
คำว่า Etoile แปลว่าดาว หากขึ้นไปข้างบนจะเห็นวงเวียนตรงนี้ แยกออกไป 12 ถนน เหมือนเป็นดาว 12 แฉกเท่าๆ กัน เป็นผังเมืองที่เก๋มากค่ะ
แม้ว่าตอนแรกจะถูกสั่งให้สร้างในยุคนโปเลียน แต่หลังจากนั้น ก็ยังมีการเพิ่ม เช่น สุสานทหารที่ไม่ทราบชื่อ ที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ที่นี่เป็นจุดที่ระลึกของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของฝรั่งเศสอีกด้วย
วิวจากด้านบน Arc de Triomphe
7. Musee d’Orsay
9.30 am – 6 pm / ปิดทุกวันจันทร์
มิวเซียมนี้เป็นมิวเซียมที่เราชอบที่สุดในปารีสค่ะ เป็นมิวเซียมที่จัดแสดงงานมาสเตอร์พีซในมูฟเม้นท์ Impressionism และ Post-Impressionism ไว้เยอะที่สุดในโลก
ตัวอาคารเคยสร้างเป็นสถานีรถไฟมาก่อน โดยสร้างในสไตล์ที่เรียกว่า Beaux-Arts เป็นสไตล์ที่สำคัญในฝรั่งเศส และมีการแผ่ขยายไปใช้ที่โลกใหม่ (อเมริกา) ด้วยค่ะ
ส่วนงานที่จัดแสดงภายในจะเป็นงานยุคปี 1848-1914 โดยประมาณค่ะ ถ้านับงานจิตรกรรมก็คือ เจเนเรชั่นถัดมาจากที่เราชมในช่วงจบของลูฟร์ค่ะ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ศิลปะค่ะ
ยุคนี้เราจะเริ่มเข้าสู่ยุค Modern Art ซึ่งเราขอทำความเข้าใจคำว่าโมเดิร์นกันก่อนนะคะ
โดยทั่วไป คนจะเข้าใจว่า โมเดิร์น หมายถึงสมัยใหม่ ซึ่งก็ใช่ค่ะ แต่ในทางศิลปะ ยุคโมเดิร์น คือศิลปะประมาณปี 1860s-1970s ซึ่งมันใหม่และขบถมากในตอนนั้น และก็เป็นมูฟเม้นท์ที่เปลี่ยนโลกศิลปะตะวันตกไปอย่างสิ้นเชิง
โดยเราเข้าสู่จากยุคที่เรียกว่า Post-Modern หรือ ยุคหลังโมเดิร์น กันไปแล้วนะคะ — ใช่ค่ะ ยุคโมเดิร์นมันเก่าไปแล้วนะ!! ใครพูดว่าของที่ดูโมเดิร์นนี่นัทต้องจูนก่อนว่า หมายถึงบริบทไหน พูดถึงยุคศิลปะโมเดิร์นในอดีต (ทุกวันนี้เป็นของแอนทีค) หรือ แบบโมเดิร์นล้ำไปจากปัจจุบัน
ส่วนถ้าเป็นงานในยุคปัจจุบันที่เรามีชีวิตกันอยู่ ในทางศิลปะ คือยุคร่วมสมัย หรือ Contemporary ค่ะ อันนี้ไปชมงานได้ที่ Centre Pompidou (ข้อ 10) นะคะ
ในยุค Modern Art เอง ก็จะมีทั้งงานศิลปะตามกรอบ ตามที่โรงเรียนศิลปะสอน แล้วก็จะมีงานที่เริ่มออกไปนอกกรอบ (นอกกรอบในสมัยนั้น) ซึ่งที่โดดเด่นที่สุดจะเป็น Impressionism และ Post-Impressionism นี่แหล่ะค่ะ ความสนุกคือ ถ้าเราดูงานจิตรกรรม ไล่จากลูฟร์ตามไทม์ไลน์ มาแวร์ซายล์ มาที่นี่ เราจะเห็นพัฒนาการเลยค่ะ ให้จินตนาการว่า ทุกคนชื่นชอบงานแบบในลูฟร์อยู่ พอมาเจองานแบบใน d’Orsay คือเป็นงงค่ะ
ไม่ว่าจะเป็น การเริ่มวาดเอ้าท์ดอร์ การเริ่มวาดชีวิตคนจริงๆ ที่ไม่ใช่กษัตริย์หรือขุนนาง การเริ่มมองโครงสร้างการวาดที่เปลี่ยนไป เริ่มเลียนแบบแสง วาดบรรยากาศ เริ่มเห็นชีวิตชาวนา ชาวบ้าน เห็นเป็นโครงๆ นัวๆ เปรอะๆ บ้าง
ฝีแปรงและเรื่องราวที่อยู่ในภาพไม่เนี้ยบตามสูตร
ศิลปินวาด “สิ่งที่เห็น” ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเห็น อย่างเรื่องเล่าทางศาสนา หรือ เทพปกรนัมกรีก
หากมีโอกาส เหตุผลที่นัทอยากชวนให้ทุกคนมาชมงานศิลปะของจริง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราไม่มีทางได้เห็นในหนังสือเรียนและอินเตอร์เน็ต นั่นคือ
ขนาดของของจริง, เทกเจอร์ผิวสัมผัสของฝีแปรง, และความต่างของภาพหนึ่งภาพเมื่อมองในระยะใกล้-ไกล ค่ะ
งานพวกนี้ อาจจะต้องมาดูวิธีการลงฝีแปรงในการผสมสีของจริงค่ะ สุดยอดมากๆ และต่างจากยุคก่อนมาก ศึกษาการวาดแสงเงี้ย (นอกจากที่ Musee d’Orsay แล้ว งานที่ National Gallery of London ก็พีคค่ะ เข้าฟรีด้วย)
ส่วนเรื่องขนาดภาพของจริง จะไม่เหมือนกับในหัวเรานี่ นัทลองเทสท์เพื่อนๆ มาหลายคนแล้วค่ะ เวลาเราเรียน เราจะจำภาพกันได้อยู่แล้ว แต่ถ้าไปถามว่า เออ คิดว่าภาพนี้มันขนาดใหญ่ประมาณไหน คือตอบผิดกันหมดเลยค่ะ นัทเองก็ผิด มั่วไปหมด
จะบอกว่า บางภาพที่เราเห็นจนชินตา มันเล็กกว่าโปสการ์ดอีกนะคะ บางภาพก็คือใหญ่อย่างกับจอโปรเจคเตอร์
งานดังๆ ของที่นี่ ก็เป็นของศิลปินแห่งยุค เช่น Claude Monet, Eduard Manet, Edgar Degas, Pierre Augustus Renoir, Paul Cézanne, George Seurat, Paul Gauguin และศิลปินที่หลายๆ คนรู้จักอย่าง Van Gogh
ถ้าพูดให้เห็นภาพชัดขึ้น ศิลปินเหล่านี้ คือเจเนเรชั่นก่อนหน้า Picasso ค่ะ ซึ่งงานเจนถัดไปนี้ จะแสดงอยู่ที่ Centre Pompidou ค่ะ และถ้าไม่มีเจนนี้กรุยทางไว้ ก็อาจจะไม่มีศิลปะแบบเราเห็นทุกวันนี้เลยก็ได้
8. Musee Rodin
10 am – 6.30 pm / ปิดทุกวันจันทร์ / จองสล๊อตเวลาล่วงหน้าก่อนเข้าชม
เมื่อกี้เราพูดถึงมูฟเม้นท์ของเหล่าจิตรกรที่เข้ามาสู่ยุคโมเดิร์นแล้ว เราจะลืมปะติมากร คนสำคัญไม่ได้ ที่นี่คือพิพิธภัณท์ที่รวบรวมงานของ Auguste Rodin ค่ะ เป็นปะติมากรคนสำคัญในประวัติศาสตร์เลย
หนึ่งในจุดที่ Rodin ได้เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของปะติมากร มีตั้งแต่การเริ่มทำรูปปั้นที่มีรูปร่างไม่เพอร์เฟคท์ แต่เป็นความจริง ไม่จำเป็นต้องท่าโพสเหมือนเทพเจ้า มีรอยเหี่ยวย่น มีความธรรมชาติ และ หากมองเราจะเห็น ความดูลื่นไหล แสดงออกถึงความรู้สึกบางอย่างบนงาน
สองงานที่ดังที่สุดของ Rodin คือ The Thinker และ The Kiss
The Thinker นั้นตอนแรก Rodin ถูกจ้างให้ทำประตูรูปหล่อทองแดง ซึ่งเค้าทำในคอนเซปท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรม Inferno ใน Divine Comedy ของ Dante ซึ่ง Gate of Hell หรือ ประตู Inferno ของ Rodin นั้น อิมแพคมากจริงๆ ค่ะ มีงานให้ดูที่มิวเซียมเลย มันดูมีพลังมากๆ
ส่วนในรูปด้านบนนี้คือ The Kiss ค่ะ เห็นความต่างระหว่างงานยุคนี้ กับปะติมากรรมยุคก่อนหน้าตั้งแต่เราดูมามั้ยคะ?
9. Musee de L’Orangerie
9 am – 6 pm / ปิดทุกวันอังคาร
Orangerie แปลตรงตัวว่าโรงเรือนปลูกส้มและซิตรัสค่ะ เพราะที่นี่เป็น Orangerie มาก่อนจริงๆ อยู่ในสวน Tuileries สวนที่ยาวจากหน้าพระราชวังลูฟร์ จนถึงจัตุรัส Concorde จัตุรัสใหญ่ที่ใช้กิลโยตินพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และ Marie-Antoinette
ตอนนี้ โรงปลูกส้มก็ได้กลายมาเป็นมิวเซียมเต็มตัวค่ะ จัดแสดงงาน Impressionism และ Post-Impressionism คล้าย Musee d’Orsay โดยที่นี่จะเล็กกว่าเยอะ ไม่แน่นเลยค่ะ แต่มีผลงานพีคๆ ไปเลยคือ Water Lilies จาก Monet ในภาพค่ะ
ผลงานชื่อดังหลายชิ้นของโมเน่ต์ถูกจัดแสดงอยู่ที่ Musee d’Orsay หนึ่งในนั้นคือ Water Lilies ที่มีกว่า 200 ภาพในคอลเลคชั่น และถูกจัดแสดงอยู่ทั่วโลก แต่ไม่มีที่ไหน ที่มีภาพยาวที่ถูกออกแบบมาเพื่อสเปซ หรือมีสเปซออกแบบมาเพื่อภาพของเค้าโดยเฉพาะแบบนี้
Water Lilies เป็นภาพสวนบัวในสระน้ำ ที่บ้านของโมเน่ต์ใน Giverny (สามารถไปชมบ้านได้นะคะ)
แต่เหตุผลที่นัทอยากให้ทุกคนมาที่นี่ซักครั้ง เพราะทันใดที่เราก้าวเข้ามาในห้องรูปวงรีแห่งนี้ มันเหมือนทุกอย่างหยุดสงบนิ่งไปหมด มันเหมือนเราหลุดเข้าไปอีกโลก
ที่ Musee de L’Orangerie จัดแสดง ภาพชุด 8 ชิ้น ความยาวรวมกันถึง 6 เมตร และภาพดอกบัวของโมเน่ต์ จะล้อมรอบตัวเราอยู่ มันเป็นโมเม้นท์ที่พิเศษมากค่ะ — อยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ เลยนะคะ
จริงๆ อีกเหตุผลที่ทำให้งานชิ้นนี้ดัง เป็นเพราะเป็นงานก่อนโมเน่ต์จะเสียชีวิต ซึ่งเค้ามีอาการต้อกระจกมองเห็นได้ข้างเดียว ขณะที่เพนท์ภาพชุดนี้ และบ้างก็ว่าที่ภาพชุดนี้ดูเป็นสีฟ้าๆ ม่วงๆ ก็เพราะว่า ตาของโมเน่ต์ ไม่สามารถเห็นสีอื่นได้แล้วค่ะ บ้างก็ว่าเป็นตาที่มองเห็นแสงยูวีซึ่งปกติเราจะไม่เห็นค่ะ
10. Centre Pompidou
11 am – 9 pm / ปิดทุกวันอังคาร / จองสล๊อตเวลาล่วงหน้าก่อนเข้าชม
จากที่เราไปดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์มาทั่วปารีสแล้ว เราก็เริ่มเข้ามาสู่ไทม์ไลน์ที่ใกล้กลับปัจจุบัน เรียกว่าเป็นรุ่นปู่ย่าเราเนี่ยแหล่ะค่ะ
ก่อนอื่นต้องพูดถึงตัวอาคารก่อน ตัวอาคารที่นี่ สร้างในปี 1971 ไม่นานเลย ถ้าเทียบกับทุกที่ที่ไปมา ซึ่งที่นี่ก็ทำตัวล้ำ โดยการนำงานระบบมาอยู่ข้างนอกหมดเลย!! บันไดเลื่อน ระบบระบายอากาศ ฯลฯ อยู่ข้างนอก ซึ่งแน่นอนว่า ตอนมาใหม่ๆ คนก็คิดว่ามันน่าเกลียด เหมือนตอนที่พระราชวังลูฟร์เอาปิรามิดแก้วมาใส่ใหม่ๆ นั่นแหล่ะค่ะ
ตอนนี้ Centre Pompidou เป็น Museum of Modern Art จัดแสดงศิลปะโมเดิร์น และ ศิลปะร่วมสมัย มีคอลเลคชั่นใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก MoMA
ภายในยังมี Gallery แสดงนิทรรศการเวียน และ ร้านอาหารอีกด้วยค่ะ
ใครชอบศิลปะในยุค 1900s จะสนุกมากๆ ค่ะ ถกกันให้ตายไปข้างเลย ที่นี่เจองานของทุกคนทั้งรุ่นค่ะ ทั้งงาน Fauvism, Expressionism, Dadaism, Surrealism, Cubism, Abstract ไปจนถึง Pop Art ค่ะ
รายชื่อเราก็จะค่อนข้างคุ้นเคย เพราะเป็นศิลปินที่เพิ่งจากไปได้ไม่นาน มีผลงานในช่วง 1905 เป็นต้นมา มีบันทึก มีรูปถ่ายแล้ว นอกจากนี้ก็คือคนในยุคปัจจุบันเลยค่ะ
มีงานสนุกๆ ทั้งจาก Henri Matisse, Picasso, Georges Basque, Marcel Duchamp, Marc Chagall, Max Earnst, Juan Miro, Man Ray, Jackson Pollock, Yves Klein, Andy Warhol, Roy Lichtenstein ฯลฯ อีกมากมายค่ะ
อย่าลืมนะคะว่า ที่มิวเซียมแรกเรายังนั่งดูศิลปิน วาดตามคำสั่งจากวัง วาดเกี่ยวกับศาสนาและนิยายปกรนัม โพสท่าแบบ Contrapposto เป๊ะๆ ตามอุดมคติ แต่วันหนึ่ง เริ่มมีภาพที่เห็นผู้คนทั่วไป ชีวิตจริง จนมาถึงวันที่ภาพจะสื่ออะไรก็แล้วแต่ใจศิลปิน และเราให้คุณค่าของ intrinsic value ที่มากขึ้น
งานศิลปะในแต่ละยุคมันมีความสำคัญ และมันแสดงออกถึง แนวความคิด ความเชื่อ อำนาจ การเมืองในแต่ละยุคได้อย่างชัดเจนมากๆ
มันทำให้เราได้เข้าใจว่า สังคมในแต่ละสมัยเป็นยังไง และสะท้อนได้ว่าเราอยากจะเป็นยังไง
และนั่นคือความสำคัญของศิลปะค่ะ…
วันนี้ขอลาไปด้วยภาพพระอาทิตย์ตกที่ Centre Pompidou นี่เลยค่ะ อย่าลืมติดตาม IG @eatchillwander ด้วยนะคะ
ทางไปจอง >> ซื้อ Paris Museum Pass คลิ๊กที่นี่
ใครกำลังจะไปเที่ยวฝรั่งเศส นัทยังเคยรีวิวไว้กว่า 5 ภูมิภาคเลยค่ะ คลิ๊กที่นี่ ได้เลย!
สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!
หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า
ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com