[รีวิว] STAGIO Chef’s Table อาหารอิตาเลียนสไตล์ Chef’s Table สุดสร้างสรรค์จากเชฟ Fabrizio Crocetta​

STAGIO  ร้านอาหารอิตาเลียน สไตล์ Chef’s Table แห่งใหม่ ที่แปลงร่างร้านดังใจกลางเมืองอย่าง Britannica Brasserie ณ Gaysorn Village ในยามค่ำคืน ให้กลายเป็น ห้องอาหารไฟน์ไดนิ่ง

สำหรับอาหารที่ Stagio เราคิดว่ามีความครีเอทีฟสูง แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นอาหารอิตาเลียนอย่างเต็มเปี่ยม โดยทางร้านได้เชฟฝีมือดีอย่าง Crocetta Fabrizio ซึ่งเคยผ่านงานในร้านอาหารระดับ Michelin Star มาแล้วที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เชฟ Fabrizio นั้นช่ำชองในวัตถุดิบจากประเทศญี่ปุ่น แล้วนำมาใช้ผสมผสานกับวัตถุดิบจากประเทศอิตาลีบ้านเกิดได้อย่างลงตัว

และนั่นเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ เพราะโดยปกติทั่วไป เรามักจะเห็นครัวฝรั่งเศสเข้าไปประยุกต์สอดคล้องกับครัวญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ แต่พอมาเจอเชฟอิตาเลียน รสมือจัดจ้าน ผสมผสานกับการทรีทวัตถุดิบอย่างละเอียดอ่อนและปราณีตในแบบญี่ปุ่นเข้าไป หลายจานจึงทำออกมาได้ดี และ เซอร์ไพรส์เราไม่น้อยเลยค่ะ

สำหรับมื้อเย็นที่ Stagio นั้น มีให้เลือก 2 แบบด้วยกัน คือ 7 courses (ราคา 3,500 บาท++) และ 12 courses (ราคา 5,000 บาท++)  นอกจากนั้นทางร้านยังให้บริการมื้อกลางวัน 4 คอร์ส ในราคาสุดคุ้มค่าเพียง 1,800 บาท++ บาท อีกด้วยค่ะ

ในครั้งนี้ พวกเราเลือกทานคอร์สใหญ่ 12 คอร์สกัน โดย 3 คอร์สแรกนั้น จะเป็น Amuse Bouche หน้าตาสวยงาม แม้จะคำเล็กแต่รายละเอียดเยอะทีเดียว

– Edible Flower Stem ที่ทำจาก Black Ink Spaghetti ตกแต่งด้วยดอกไม้ทานได้และ Lemon Gel ก้านทั้งก้านทานได้เลย กรุบกรอบมีรสชาติเลยค่ะ
– Spinach and Ricotta Ravioli – เกี๊ยวที่เปลี่ยนแป้งเกี๊ยวเป็นใบผักโขม สอดไส้ด้วยริคอตต้าชีส
– Crispy Potato and Red Capsicum – มันฝรั่งเส้นเล็กทอดกรอบจนฟู โรยด้วยผงพริกชี้ฟ้าแดง สอดไส้ puree รสพริก

เริ่มต้น Starter จานแรกด้วยกุ้งแดง Carabineros จากสเปน นำไปซูวีจนหวานเด้ง ทานกับซอส Cacciucco ซึ่งทำจากมันหัวกุ้ง Carabineros และ Fish Stock เสริมความหวานด้วยอูนิจากฮอกไกโด ด้านในของจานเป็น Fennel สับเพิ่ม texture กรุบๆ และหยดด้วย Dill Oil เพื่อตัดเลี่ยนความหวานมันและเพิ่มความลึกของรสชาติ จานนี้เป็นหนึ่งใน Signature ของร้าน Stagio ที่เรารู้สึกว้าวมากๆ

ต่อด้วย Bluefin Tuna Tartare ที่ใช้ทูน่าครีบน้ำเงินเกรดร้านโอมากาเสะ นำมาหั่นเต๋า ปรุงรสด้วย parsley mustard และเสริมความเปรี้ยวด้วยเม็ด caper และ shallot ดอง

อีกหนึ่ง Highlight ของค่ำคืนนี้ คือ ปลา Sanma จากญี่ปุ่นที่อยู่ในฤดูกาลที่มันอร่อยและเข้มข้นที่สุด เสริมทัพด้วย Guanciale หรือแฮมส่วนแก้มหมู เสริมความอูมามิไปอีกขั้นด้วย น้ำปลาแองโชวี่จากอิตาลี และ Balsamic ที่หมักไว้ถึง 25 ปี ทั้งหมดวางบนขนมปังโทสต์เนื้อกรอบฟู อร่อยมากๆ สามารถเอาไปเสิร์ฟในร้านอาหารยุโรเปียนติดดาวในบ้านเราได้ทุกร้านโดยไม่น้อยหน้าอาหารจานอื่นเป็นแน่แท้

เชฟบอกว่า ถ้าหมดฤดูปลาซันมะ ก็จะเปลี่ยนเมนูนี้ออก เราก็ถามว่าใช้ปลาอื่นไม่ได้หรอ เพราะมันดีมากเลย เชฟบอกว่า ถ้าไม่ใช่ปลาซันมะ เมนูนี้จะไม่เพอร์เฟคท์ เค้าไม่ทำดีกว่าค่ะ แต่มันดีจริงๆ

คอร์สถัดไปเป็นพาสต้า โดยทางร้านจะมีให้เลือก 2 จาน

จากแรกเป็น Cold Spaghetti, Smoked Eel and Lemon โดยจานนี้นั้นมีความบาลานซ์ของรสชาติที่ดีเยี่ยม และได้ความสดชื่นมาจากใบ tarragon ตัวเส้นก็ลวกมาอย่างพอดิบพอดี และตัวปลาไหลย่างก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว

หรือจะเลือกเป็น Black Spaghetti, Squid Ink and Caviar Sauce (Supplement 1,200 Baht) ที่ใช้คาเวียร์หมดกระปุกมาทำซอสและโปะ on top ด้านบน ได้รสชาติความมันและอูมามิของคาเวียร์อย่างจัดจ้านชัดเจน

ต่อด้วยคอร์สข้าว Risotto ที่ทำอย่างเรียบง่าย และ traditional มากๆ แต่ใช้วัตถุดิบ premium สุดๆ ในการทำ ไม่ว่าจะเป็นข้าวพันธุ์ Carnaroli ชั้นดี หรือชีส Parmigiano “Vacche Rosse” ที่เอจมานานกว่าสามปี เสริมรสด้วย Black Olive, Basil และ Burrata

คั่นกลางด้วย Cold Cuts ที่เป็นแรร์ไอเท็ม เพราะทำจากหมูดำ Mora Romagnola ที่หาได้จากแคว้น Emilia-Romagna บ้านเกิดเชฟเท่านั้น (รวมไปถึงพาเมซานชีสชั้นยอด และ บัลซามิก 25 ปี ในคอร์สก่อนหน้าด้วย)

ต่อด้วยคอร์สปลา Japanese Mackerel จากญี่ปุ่น นำมาย่างจนหอม Perfectly cooked รสสัมผัสอ่อนนุ่มมากๆ ไม่มีความสากเลย ราดด้วยซอส Pescatora ที่เข้มข้นถึงใจ มาเต็มทั้งความหวานความเปรี้ยวและความเข้มข้นของรสชาติ

มาถึง Main Course เป็น Lamb Loin ที่นำมาย่างสุกระดับ Medium Rare ด้วยถ่าน Binchotan ทำให้ได้กลิ่นหอมของถ่าน เสริฟพร้อม Pickled Carrot และที่ขาดไม่ได้คือซอสที่ reduce จนหนืดเหนียว add on ด้วยซอสกาแฟ ที่เพิ่มความหอมไฟคั่วและขมเล็กน้อยมาเสริมกับรสเนื้อได้อย่างพอดิบพอดี

สำหรับคนที่ไม่ทานแกะ ทางร้านสามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อวากิว A5 ให้ได้ (Supplement 750 Baht)

อย่างไรก็ตาม เชฟแนะนำมากๆ ว่า เค้าคิดซอสมาให้เข้ากับแกะ ที่นี่แกะถือว่าไม่สาบค่ะ แต่เราเข้าใจ ในฐานะที่เราเซนซิทีฟก็จะได้กลิ่นเฉพาะของเนื้อแกะอยู่ดีใช่มั้ยคะ และจานนี้เป็นจานที่เราคิดว่า ซอสกับของในจาน มันทำมาเพื่อแกะจริงๆ ทานรวมกันแล้วดีมาก เราทานได้เลย

ล้างปากกันด้วย Pre Dessert เป็น Italian Basil Ganache ทานกับราสเบอรี่สด และเมอแรงค์เนื้อเบา

จบคอร์สด้วยขนมหวาน Pine Nut Ice Cream, Dark Chocolate and Juniper Toffee ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศคริสมาสในยุโรป กลิ่นเครื่องเทศที่เราพบในมูลด์ไวน์ ชวนให้นึกถึงตลาดคริสต์มาสหรือเตาผิงในบ้านในยุโรปจริงๆ

ปิดท้ายมื้ออาหารด้วย Petit Four สองชนิด – Bergamot Chocolate Truffle และ Crystallised Kombu Jelly ตัวนี้ถือว่ารสชาติแปลกและไม่คุ้นเคยเลยค่ะ แต่ก็สนุกดี

เสริฟมาพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นแก้วเล็กๆที่ทำมาจากเปลือกกาแฟ (Cascara) ต้มกับเครื่องเทศหลากชนิด

จบกันไปกับอาหาร 12 courses ที่หลายจานนั้นเรียกได้ว่า ดีมาก เซอร์ไพรส์มาก สำหรับเรานั้น Stagio นับเป็นร้านอาหารอิตาเลียนร่วมสมัยที่ให้ความเพลิดเพลินในการรับประทานเป็นอย่างมาก จุดเด่นหลักๆคือการปรุงอาหารที่ perfectly cooked เกือบทุกจาน วัตถุดิบระดับ premium ที่ขนมาใส่อย่างไม่มีกั๊ก ทั้งของเล็กของใหญ่ ตั้งแต่น้ำมันมะกอก น้ำปลา บัลซามิก จนไปถึง เนื้อปลาเกรดร้านโอมากาเสะ

เราตั้งหน้าตั้งตารอเมนูใหม่ของร้าน Stagio และจะกลับไปซ้ำอย่างแน่นอน


STAGIO Chef’s Table

ตั้งอยู่ที่ Gaysorn Village ชั้น 1

Facebook : https://www.facebook.com/stagiochefstable/
Tel. : 099 325 2897
Line : @stagiochefstable

error: