[รีวิว] ห้องอาหาร Front Room โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok เสน่ห์อาหารไทยสุดพิถีพิถันจากรสมือแม่

ภายในล็อบบี้ชั้นล่างของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok (วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ) เป็นที่ตั้งของห้องอาหารห้องอาหาร Front Room (ฟร้อนท์ รูม) ห้องอาหารไทยที่ตั้งใจนำเสนอเสน่ห์ของอาหารไทย 8 รสชาติผ่านอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “รสมือแม่” ที่เน้นการปรุงอย่างพิถีพิถันและปราณีต เสิร์ฟในห้องอาหารที่ตกแต่งได้อย่างโอ่โถงสบายตา
อาหารไทย 8 รสชาติที่กล่าวถึงนั้น ได้แก่ เผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม มัน ปร่า (ฝาด) และจืด ซึ่งพอเราได้ชิม เราก็รู้สึกได้ถึงมิติของรสชาติ และ ความสดใหม่ของวัตถุดิบที่ชูโรงออกมาได้ดีในแต่ละจาน รสชาติกลมกล่อมและมีมิติทุกเมนู ที่สำคัญ หลายเมนูอาจจะเป็นเมนูที่หาทานได้ทั่วไป แต่หาที่ทำแบบพิถีพิถันและใช้วัตถุดิบชั้นดีได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะการจัดการกับเนื้อสัตว์ที่เราเชื่อว่า เชฟได้ใช้ประสบการณ์ในครัวอาหารตะวันตกแบบไฟน์ไดนิ่งเข้ามาพลิกแพลงอีกด้วย
ทีมเชฟของห้องอาหาร Front Room นำโดยเชฟบัว สโรชา รัชตะนาวิน ผู้มีประสบการณ์การทำงานทั้งในครัวร้านไฟน์ไดนิ่งและอาหารไทย ได้ร่วมกับ อาจารย์หนิง ดร. นิพัทธ์ชนก นาจพินิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไทย และ เชฟที่ปรึกษา เชฟแอน ศุภณัฐ คณารักษ์ ในการรังสรรเมนูและสูตรอาหารนำเสนอเสน่ห์ของอาหารไทย 8 รสชาติ
สำหรับอาจารย์หนิงนั้น อาหารไทยรสมือแม่ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการปรุงแบบเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนของมารดา ที่ให้ความสำคัญกับการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรุงอาหาร การสร้างความน่าสนใจต่อประสาทสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นรูป รส และกลิ่น ที่สำคัญคือความรัก ความหลงใหลในการทำอาหาร ซึ่งจากที่เราได้คุยกับเชฟบัว เราก็รู้สึกได้เช่นกัน
เริ่มมื้อกันด้วย ข้าวเกรียบกุยช่าย ที่เสิร์ฟให้ทุกโต๊ะ ของกินเล่นที่หลายคนติดใจ ข้าวเกรียบจากกุยช่ายแผ่นบาง ทอดมาได้กรอบ รสชาติคล้ายขนมกุยช่าย แต่มีเทกเจอร์ที่ทานเพลินมาก
กุ้งก้ามกรามนึ่งซีอิ๊ว (450.-/ชิ้น) กุ้งแม่น้ำคัดไซส์ตัวโต นึ่งในซีอิ๊ว กระเทียมต้น และ ขิง โดยทั้งหมดช่วยชูความหวานของเนื้อกุ้ง และไม่กลบวัตถุดิบหลักเลย
ปลาเก๋านึ่งพริกลาบคั่ว (500.-) เมนูนี้หลายคนแนะนำเลยค่ะ เป็นเมนูที่ชูวัตถุดิบหลักอย่างปลาเก๋าสดๆ ได้อย่างน่าสนใจ ปลาเนื้อแน่น ฉ่ำ นึ่งและเสิร์ฟพร้อมพริกลาบคั่วที่มีความหอม ทานคู่กับผักเคียงได้เป็นอย่างดี
พล่าไหลบัวหอยเชลล์ (580.-) เครื่องพล่าครบรส ที่มีความกรอบของไหลบัว ความสดชื่นของส้มโอ และความหอมของสมุนไพร เนื้อหอยเชลล์สด เข้ากับพริกเครื่องพล่าอย่างลงตัว
เนื้อเค็มต้มกะทิ (580.-) เมนูที่ดูเรียบง่าย แต่ไม่ธรรมดา กะทิหอมมัน มีเนื้อสัมผัสที่ดี เนื้อเป็นเนื้อแก้มวัวที่ต้มมาจนนุ่มแทบละลาย มีความอุมาหมิ เพิ่มมิติด้วยหอมแดงและพริกขี้หนู ทำให้ต้มกะทิเข้มข้นนี้ไม่หนักจนเกินไปค่ะ เมนูนี้แนะนำ
ก๋วยเตี๋ยวปลาทอดผักสด (300.-) ปลากะพงทอดกรอบ ห่อด้วยผักกาดเสิร์ฟให้พร้อมทานเป็นคำๆ ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด
เมนูย่างเราสั่งมา 2 อย่าง ซึ่งทีเด็ดอยู่ที่การทำเนื้อสัตว์มาที่ความสุกพอดี อย่างเนื้อวากิวที่ทำ เสือร้องไห้ (740.-) ก็เสิร์ฟมาในระดับมีเดียมแรร์ เนื้อมีความนุ่ม และมีกลิ่นย่างถ่านที่หอมมากๆ แจ่วก็ทำได้เข้มข้น เป็นเมนูเสือร้องไห้ที่ฟินมากๆ ค่ะ
อีกจานเป็น ไก่ฆอและ (450.-) ทางห้องอาหารใช้ไก่เบญจา ซึ่งเป็นไก่ปลอดสารคุณภาพพรีเมียม นำมาหมักกับเครื่องแกงใต้ และกะทิ จานนี้ เซอร์ไพรส์มาก เพราะไก่นุ่มมากๆ เข้ากับเครื่องที่หมักได้เป็นอย่างดี
จากเครื่องแกงใต้ เรามากันที่เครื่องเทศของภาคเหนือ หมูทอดมะแขว่น (400.-) หมูคุโรบุตะส่วนคอหมักกับมะแขว่น ที่มีความเผ็ดร้อน ลงตัวกับเนื้อหมูที่ทอดมาได้เด้ง มีความกรอบนอกนุ่มใน และไม่รู้สึกมันค่ะ
ห้องอาหาร Front Room จะเสิร์ฟข้าวให้กับทุกท่าน โดยสามารถเลือกได้ทั้งข้าวขาวและข้าวไม่ขัดสีจากแหล่งปลูกข้าวชั้นดีของไทย
เข้าสู่ของหวานกันบ้างนะคะ ของหวานที่นี่ก็มีความโดดเด่น มีพื้นฐานมาจากขนมไทย แต่ยกระดับไปได้ไกลทีเดียว
เริ่มจาก ซอร์เบต์ (120.-) ที่มีให้เลือก 4 รส ได้แก่ ซอร์เบต์ส้มซ่า, ซอร์เบต์ข้าวแต๋นน้ำแตงโมง, ซอร์เบต์กล้วยปิ้ง และ ซอร์เบต์กะทิ ซึ่งทุกรสทำได้อย่างเข้มข้น มาทั้งรสชาติและกลิ่น เราชอบซอร์เบต์กล้วยปิ้งและส้มซ่ามากๆ อย่างซอร์เบต์ส้มซ่า มีการโรยขิงซอยและหอมเจียวมาด้วย ทำถึงมากจริงๆ ค่ะ
อีก 2 เมนูนี่ชอบทั้งสองเลย ทำใจเลือกอย่างใดอย่างนึงนี่ลำบากเลยค่ะ
ลอยแก้วผลไม้ แซฟฟรอนกรานิตา (220.-) ลอยแก้วผลไม้ตามฤดูกาล ที่ปลอกและเชื่อมมาอย่างปรานีต ไม่หวานเกินไป โรยด้วยแซฟฟรอนกรานิตา ซึ่งความหอมนวลละมุนของแซฟฟรอนนั้น เข้ากับความหวานสดชื่นของผลไม้ได้เป็นอย่างดี เชฟโรยซิตรัสนิดๆ ไว้ด้านบน ทำให้มีมิติมากค่ะ
มะพร้าวชีสเค้ก (280.-) ชีสเค้กมะพร้าวที่เสิร์ฟมากับลูกมะพร้าวเลยค่ะ ชีสเค้กด้านในมีความเข้มข้นแต่ไม่หนัก ค่อนข้างละมุน พอรวมกับเจลลี่มะพร้าวอ่อน และ ไวท์ช็อคโกแลตมูสด้านบน จะมีความหอม มีเทกเจอร์ที่แตกต่างอยู่ในคำเดียว ที่สำคัญ ไม่หวานเกินไปด้วยค่ะ
เมนูเครื่องดื่มที่นี่ก็ยังน่าสนใจเป็นอย่างมากเลยค่ะ
การตกแต่งและบรรยากาศของห้องอาหารแห่งนี้ เหมาะกับทั้งมื้อที่ต้องการความหรูหราเป็นทางการ และ มื้อสบายๆ กับเพื่อนหรือครอบครัว ในช่วงกลางวันที่มีแสงธรรมชาติเข้ามา ทำให้ห้องอาหารนี้โปร่งสบายมากๆ ส่วนตอนกลางคืนก็จะดูหรูหราเลยค่ะ
พนักงานบริการดีและแนะนำดีมากค่ะ ดูแลสมกับระดับของโรงแรม Waldorf Astoria จริงๆ
ห้องอาหาร Front Room (ฟร้อนท์ รูม)
ตั้งอยู่บนล็อบบี้ชั้นล่างของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok (วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ) ถนนราชดำริ
เปิดให้บริการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์
มื้อเที่ยง เวลา 11.30 น. – 14.00 น.
มื้อเย็น เวลา 17.30 น. – 21.30 น.
โทร. : 02 846 8888
เว็ปไซต์ : https://www.hilton.com/en/hotels/bkkwawa-waldorf-astoria-bangkok/dining/