[รีวิว] บ้านพระยา (Baan Phraya) ห้องอาหารไทยไฟน์ไดนิ่ง ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ

ย้อนไปในอดีต เมื่อสยามมีการค้าขายกับต่างชาติและบางกอกมีการสัญจรทางน้ำ แม่น้ำเจ้าพระยานับเป็นประตูในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองสู่บางกอก ภาพของอาคารที่หันหน้าออกมาทางแม่น้ำยังคงเป็นเอกลักษ์สวยงามตั้งแต่โรงภาษีร้อยชักสาม กงสุลฝรั่งเศส รวมไปถึงโรงแรมหรูแห่งแรกของไทย อย่าง โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ซึ่งในวันนี้ เราอยากชวนทุกคนข้ามเรือมาชมความสวยงามนี้ จากเรือนไทยอายุกว่าร้อยปีบนฝั่งธนฯ พร้อมอาหารไทยแบบไฟน์ไดนิ่ง ที่ห้องอาหาร “บ้านพระยา”
บ้านพระยา เป็นบ้านไม้อายุกว่าร้อยปี ที่ตั้งอยู่ในบริเวณฝั่งธนฯ ของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ อยู่ติดกับดิโอเรียนเต็ล สปา ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านของพระยามไหสวรรย์ ผู้เป็นคหบดีคนดัง กับคุณหญิงเลื่อน ที่มีชื่อเสียงในการทำอาหารรับรองบุคคลสำคัญทั้งจากไทยและต่างประเทศที่บ้านแห่งนี้ — นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ เชฟป้อม พัชรา พิระภาค ตั้งใจจะนำเสนออาหารไทย โดยเฉพาะเมนูเก่าแก่ที่ไม่ค่อยได้เห็นในปัจจุบัน ในรูปแบบที่ร่วมสมัย ปลุกให้บ้านพระยากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ห้องอาหาร บ้านพระยา มีการเปลี่ยนเมนูทุกๆ ฤดูกาล โดยวันนี้ เราได้มาทานเมนูฤดูร้อนที่เสิร์ฟทั้ง 8 คอร์ส สนนราคาท่านละ 4,200.-++ ค่ะ
เริ่มมื้ออาหารกันที่บริเวณระเบียงด้านหน้าบ้านพระยา เป็นบริเวณที่เหมาะกับการนั่งชมแม่น้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า และวิวของกรุงเทพจากมุมที่เป็นเสมือนประตูเข้าสู่ราชอาณาจักรสยาม โดยจะเสิร์ฟน้ำกระชายและน้ำผึ้งลูกหม่อนออร์แกนิกจากฟาร์มของโรงแรม ให้ความเย็นสดชื่น พร้อมเปิดต่อมรับรสด้วย “ม้าฮ่อ” ในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นที่ไหน แต่มีความฉ่ำของรสชาติสัปปะรดที่หอมหวาน ตามด้วย คะน้ากรอบทรงเครื่องและส้มแขก รสชาติจัดจ้าน
จากนั้นเราก็จะถูกเชิญมานั่งที่โต๊ะ ซึ่งในแต่ละคืนจะรับแขกประมาณ 20 ท่านเท่านั้น ให้บรรยากาศอบอุ่น เหมือนอยู่บ้าน คำแรกเป็น ตำขนุน อาหารยอดนิยมจากภาคเหนือ ซึ่งมีคำกล่าวที่บอกว่า “วันปากปี๋ต้องกิ๋นต๋ำบะหนุน” โดยวันปากปี๋ คือวันที่ 16 เมษาของเทศกาลปีใหม่เมือง และการได้ทานตำขนุน ก็เชื่อว่าจะมีคนมาอุดหนุนค้ำจุนตลอดปีนั่นเองค่ะ ตามด้วย ขนมดอกจอกไข่ปู ซึ่งความพิเศษอยู่ที่ซอสมันปูที่มีน้ำส้มซ่าปรุงรส และผิวส้มซ่าโรยด้านบน
ต่อด้วย ยำทวายไก่ยอและกุ้งลายเสือ ปกติมักเสิร์ฟเป็นไก่ฉีก แต่เชฟป้อม เลือกที่จะนำเนื้อไก่และไก่ยอทำเอง เข้าไปย่างและรมควันกาบมะพร้าวให้มีกลิ่นไหม้หอม ภายในยำประกอบไปด้วยผักบุ้ง ถั่วพลู ผักกรูด ท็อปด้วยแก่นตะวันเพิ่มเนื้อสัมผัสกรอบเข้ากันดี
เข้าสู่คอร์สซุปหรือน้ำแกง เชฟป้อมเลือกเสิร์ฟเป็นต้มยำรสชาติเข้มข้นพร้อมหอยเชลล์จากทะเลอันดามัน ด้วยความที่ต้มยำแม้จะเป็นต้มยำน้ำข้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นน้ำแกงที่ไม่ได้หนักแบบแกงข้นหรือแกงกะทิ ทำให้เหมาะกับฤดูร้อน
ถัดมาเป็นเมนูย่าง หลามปลากะพงแดงและน้ำพริกกะลา โดยอยากนำเสนอวัฒนธรรมการกินท้องถิ่น อย่างตัวเชฟเองมาจากยโสธร จะมีการนำเนื้อสัตว์ใส่กระบอกไม้ไผ่ย่าง ที่เรียกว่า “หลาม” ซึ่งเป็นที่นิยมในต่างจังหวัด แต่อาจจะหาทานยากในเมือง รวมไปถึงน้ำพริกกะลา ที่ขูดเนื้อมะพราวมาตำกับพริกและเครื่องอื่นๆ ก่อนนำกลับไปใส่ในกะลาแล้วเผาไฟเพื่อกลิ่นหอม เชฟมีการใส่ใบทำมัง ที่มีกลิ่นคล้ายแมงดา ให้ความรู้สึกหอมมันในน้ำพริก เสิร์ฟมาพร้อมกับผักเคียงอย่างผักกาดหิ่น ผักคะแยง ยอดกระถิน
เข้าสู่ฤดูร้อนจะขาดเมนูนี้ไม่ได้ “ขนมจีนซาวน้ำ” ที่เชฟทำเส้นเอง และ ใช้สัปปะรดหอมสุวรรณ ที่มีกลิ่นหอมมากๆ ค่ะ
เรากำลังจะเข้าสู่จานหลักในวันนี้ กุ้งแม่น้ำย่างซอสน้ำพริกมะขามและหลนมันกุ้ง ต้องบอกว่านัทเป็นคนชอบทานมันกุ้งกับข้าวมากๆ ซึ่งที่นี่เชฟนำไปทำเป็นหลน มีความหอมมันนุ่มนวล ข้างๆ เป็นน้ำพริกมะขามที่มีความเปรี้ยวมาตัด ส่วนกุ้งก็ย่างมาในระดับความสุกที่พอดี ตัวใหญ่ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย เป็นจานที่เราชอบมาก
ปิดท้ายด้วย แกงเผ็ดเนื้อย่างและส้มเถาค้น เนื้อวากิวแสนนุ่มที่ย่างมาอย่างพอดี พร้อมแกงเผ็ดรสชาติจัดจ้าน เสิร์ฟกับข้าวมันซึ่งเป็นข้าวที่หุงกับกะทิ เข้ากันดี
จากนั้น ทุกคนก็จะได้ตื่นเต้นกับ Dessert Trolley ในเวอร์ชั่นขนมไทย ที่มีหลากหลายให้เราได้เลือก และแต่ละชนิดก็ทำมาด้วยความพิถีพิถันและเราชอบหลายชนิดมาก ตั้งแต่ส้มฉุนซึ่งเสิร์ฟแบบกรานิต้าพร้อมเนื้อมะยงชิด แตงโมปลาแห้งที่มาในรูปแบบ Sorbet รวมไปถึง มะม่วง “พลิก”เกลือ หนึ่งในเมนูที่ไม่ค่อยได้เห็นในปัจจุบัน และยังเป็นที่ถกเถียงว่ามาจากคำว่าพริกเกลือ หรือ พลิกเกลือ กันแน่ เพราะไม่มีการใส่พริก แต่เป็นเครื่องจิ้มที่ทำมาจากการนำมะพร้าวไปคั่วแล้วปรุงกับเกลือเท่านั้น
นับว่าเป็นอีกหนึ่งมื้ออาหารไทย ที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ทั้งเรื่องของเมนู วัตถุดิบ ความพิถีพิถัน รวมไปถึงบรรยากาศที่ทำให้รู้ว่า ทำไมใครใครก็หลงรักบางกอก
ห้องอาหาร บ้านพระยา (Baan Phraya Bangkok)
ตั้งอยู่ในโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ (Mandarin Oriental Hotel Bangkok) ฝั่งธนบุรี ใกล้ The Oriental Spa
สามารถนำรถมาจอดฝั่งนี้ได้ หรือ นั่งเรือของโรงแรมข้ามมาจากฝั่งเจริญกรุงก็ได้ค่ะ
อาหารค่ำแปดคอร์ส ราคาท่านละ 4,200++ บาท
ให้บริการเสิร์ฟอาหารค่ำวันศุกร์ – วันอังคาร ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 22.30 น.
(ให้บริการเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยตั้งแต่เวลา 17.00 น. – 19.00 น.)
กรุณาสำรองที่นั่งล่วงหน้า
โทร. 0 26599000
เว็บไซต์ www.mandarinoriental.com/bangkok
ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com