[รีวิว] Nahm ร้านอาหารไทยแท้ หนึ่งดาวมิชลิน ในโรงแรม COMO Metropolitan Bangkok
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อเสียงของร้าน Nahm (น้ำ) ในฐานะร้านอาหารไทยร้านแรกในโลกที่ได้รับรางวัลดาวมิชลินในสมัยที่อยู่ลอนดอน ไปจนถึงการได้อันดับหนึ่ง ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย มาถึงตอนนี้ ร้าน Nahm ได้เข้าสู่บทใหม่ หลังจากต้อนรับเชฟสาวชาวไทยผู้ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง เชฟ พิม เตชะมวลไววิทย์ เชฟผู้เชื่อว่าเธอคือแม่ครัว ผู้ที่ทำอาหารที่บ้าน และ เธอพร้อมจะสืบทอดอาหารไทยที่เธอได้รับการถ่ายทอดมาจากในครัวที่บ้านสู่ผู้มาเยือนทุกคน
ร้าน Nahm ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ย่านสาทร ในโรงแรม COMO Metropolitan กรุงเทพฯ ถนน สาทรใต้ สามารถจอดรถได้ที่โรงแรม เมื่อเดินเข้ามาก็จะพบกับร้าน Nahm ที่ให้บรรยากาศร่วมสมัย
Eat Chill Wander เชื่อว่า หนึ่งในเหตุผลที่ทุกคนเข้ามาอ่านรีวิวกันอยู่ตอนนี้ เพราะต้องการทราบว่า การมาทานอาหารที่ Nahm นั้นคุ้มค่ามั้ย ซึ่งเราอยากปรับความเข้าใจกับผู้อ่านก่อนว่า การที่เราอยู่ประเทศไทยและมีอาหารไทยหลากหลายประเภทและราคาให้เราเลือกนั้น ทำให้บางครั้ง เราไม่ได้ให้คุณค่าอาหารไทย และยอมจ่ายเงินกับอาหารตะวันตก หรือ อาหารญี่ปุ่นมากกว่า โดยลืมคิดไปว่า จริงๆ แล้ว ถ้าจะต้องทำอาหารไทยตั้งแต่เริ่มต้น ไม่มีพริกแกงสำเร็จ ไม่ใช้ปูถุง ขูดมะพร้าวคั้นกะทิกันสดๆ คัดยอดผัก ใช้เครื่องปรุงแบบ Artisanal มันใช้ความพยายามและเวลา ไม่ต่างจากการทำอาหารชาติอื่นๆ เลย — และถ้าทุกคนยอมรับคุณค่าตรงนี้ มื้อนี้ ถือว่าคุ้มค่ามากๆ
ปูที่คัดขนาดและแกะมือสดๆ กะปิจากชุมพรที่เชฟไปสรรหา กุ้งแม่น้ำสดๆ ตัวโต กะทิคั้นสด พริกเผาทำเอง ไปจนถึงความเชื่อของเชฟ ว่า “ดิฉันมองตัวเองว่าเป็นแม่ครัว มากกว่าเป็นเชฟ การทำอาหารจริง ๆ แล้วคือการสรรหาวัตถุดิบ ส่วนผสม แล้วมาปรุงให้มันอร่อย ดิฉันคงทำอาหารให้อร่อยไม่ได้ ถ้าวัตถุดิบส่วนผสมไม่ดี ดิฉันไปตลาดเองตลอด ไปหาวัตถุดิบ ไปชิมมันทุกอย่าง ถ้าดิฉันจะหาน้ำปลา จะต้องหามาซัก 15 ยี่ห้อ แล้วชิมให้หมดให้เข้าใจรสชาติของทุกยี่ห้อ” นั่นน่าจะเป็นเหตุผลว่า ทำไมอาหารไทยที่ Nahm ถึงแตกต่างและโดดเด่น
มาเข้าสู่เมนูกันเลยค่ะ ตอนนี้ที่ Nahm ไม่มีเมนูแบบ A la carte แล้วนะคะ เปลี่ยนเป็นแบบ Set Menu หมดแล้ว เริ่มต้นที่ เซ็ท Essence 10 เมนู ราคา 2800++ บาทต่อท่าน เซ็ทที่เราทานชื่อ Heritage 12-13 เมนู ราคา 3200++ บาทต่อท่าน และ เซ็ท Discovery 16 เมนู ราคา 3500++ บาท ต่อท่านค่ะ
ตอนแรกเราก็แอบขัดใจ ที่ทางร้านนำเมนู A la carte ออกไป แต่เชฟให้เหตุผลว่า เชฟตั้งใจ เพราะอาหารเชฟทำรสจัดจ้านตามที่แต่ละจานควรจะเป็น จึงเสิร์ฟเป็นเซ็ท เพื่อให้ได้บาลานซ์และมีครบทุกรสชาติ ซึ่งพอทานจบคอร์ส เราจึงเข้าใจว่าทำไม อย่างจานที่เผ็ด มันเผ็ดแบบเผ็ดมากเลยค่ะ แต่มันอร่อยถึงรสจริงๆ โดยที่พอทานไปพร้อมกับกับข้าวอย่างอื่น มันสร้างสมดุลย์กันได้จริงๆ ค่ะ
เริ่มจากอาหารทานเล่น เราเริ่มมื้ออาหารกันด้วยขนมเบื้องไส้เค็มค่ะ
จากนั้นจึงเสิร์ฟ “เมี่ยงนพเก้า” เมี่ยงเนื้อล็อบสเตอร์ ไก่ มะม่วงมัน สละ และ สมุนไพร หอมกลมกล่อมมากๆ
ตามมาด้วย “ปูซ่อนกลิ่น” ซึ่งเป็นคำที่เราชอบมากๆ เนื้อปูหวาน เต็มปากเต็มคำมากๆ ค่ะ คำนี้จะทำให้เราเข้าใจเลยว่า เนื้อปูแช่แข็งที่แกะมาแล้ว กับ เนื้อปูสดๆ เด้งๆ มันแตกต่างกันมากขนาดไหน ปรุงรสเปรี้ยวนำ ชูรสปูได้ดีมาก
ตามด้วย “งบทะเล” เป็นเมนูที่ทุกคนบนโต๊ะลงความเห็นว่าอร่อย และกวาดเรียบ ทางร้านอธิบายว่า “งบ” คือห่อหมกย่าง แต่สิ่งที่เด็ดของงบทะเลจานนี้คือ เนื้อปูม้า กุ้ง และ ปลา ที่สดเด้งในทุกคำที่ตัก สิ่งที่เราชอบคือ ความเผ็ดที่ตามมาเป็นอาฟเตอร์เทสท์ ทำให้ไม่กลบความเข้าเนื้อของอาหารทะเลและเครื่องแกง — เราเชื่อว่า นี่คือความต่าง ของการทำพริกแกงขึ้นสดๆ ทุกวันของที่นี่
เริ่มเข้าสู่อาหารจานหลักแล้วค่ะ สำหรับอาหารทานเล่นเมื่อซักครู จะยังไม่ได้เสิร์ฟข้าวนะคะ และเสิร์ฟมาให้แบ่งทานเป็นคำๆ ง่าย
ส่วนอาหารจานหลัก จะเสิร์ฟเป็นสำรับ 7 อย่าง พร้อมข้าว ทานแชร์กันแบบไทยค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวไม่อิ่มนะคะ จัดเต็มมากๆ
เริ่มจากซุปที่เสิร์ฟแต่ละคนเป็น “ต้มยำกุ้งกับเห็ดป่า” กุ้งแม่น้ำสดๆ ทีเด็ดอยู่ที่น้ำมันพริกจากพริกเผาทำเอง ที่มีกลิ่นหอมออกมาแบบสะใจมากค่ะ
ข้าวที่เสิร์ฟ เชฟเลือกเป็น ข้าวเขียวอ่อน เป็นการเก็บเกี่ยวในช่วงที่ข้าวยังไม่สุกแก่เต็มที่ เม็ดข้าวจะยังไม่แป้งมาก
ตามด้วยสองเมนูสุดจี๊ดของเซ็ทนี้ค่ะ “น้ำพริกโศกา” และ “กะปิพล่าพริกไทยอ่อน” เสิร์ฟคู่กับเครื่องแนมอย่างหมูกรอบ ผักสด และ ไข่ต้มค่ะ
น้ำพริกโศกา ทานคำเล็กๆ คู่กับหมูกรอบและผักสดกรอบหวาน เข้าดันได้ดี เพราะน้ำพริกนั้น เผ็ดจัดจ้านน้ำตาไหล จึงเป็นที่มาของชื่อ น้ำพริกโศกา นั่นเอง
ทางฝั่งของกะปิพล่า ที่พอใช้กะปิสดแล้ว มีความหอม กลมกล่อม ทานกับไข่ต้มได้รสชาติอย่างลงตัว
จานนี้เป็นอีกจานที่ชอบมากๆ ค่ะ “กุ้งแม่น้ำผัดชะคราม” ชอบตรงกลิ่นไหม้ของเปลือกกุ้ง เหมือนพวก bisque ที่เข้าไปเป็นเนื้อเดียวกับน้ำซอส
“แกงปูใบชะพลู” จานนี้ไม่พูดมากค่ะ ขอย้ำอีกทีว่า ที่นี่คั้นกะทิสดๆ โขลกพริกแกงใหม่ แกะปูเอง ไม่ใช้ของสำเร็จ ตักตรงไหนก็เจอปูแน่นๆ ทั้งถ้วย แกงกะทินวลมากๆ
“แกงป่าหมูสมุนไพรใส่ข้าวคั่ว” รสชาติต่างกับแกงปูแบบคนละทาง เราประทับใจในการทำแกงแต่ละแบบได้โดดเด่น อย่างจานนี้ก็เผ็ดร้อนแบบแกงป่า เนื้อหมูเนื้อสัมผัสดีมากเลยค่ะ
จานสุดท้าย “ผัดผักกูดไฟแดง” จานนี้เซอร์ไพรส์ค่ะ เพราะปกติเราไม่ทานผักกูด แต่ส่วนของผักที่เชฟคัดมา กับ ความหอมในการผัด ได้ออกมาเป็นผัดผักกูดที่กรอบหอม ตัดความเผ็ดได้ดีมากเลยค่ะ
ล้างปากกันด้วย ซอร์เบ สัปปะรด ใบมะขามอ่อน หน่อกะวาน
ของหวานเชฟตั้งชื่อว่า “ข้าว Temptations of Rice” โดยเสิร์ฟขนมข้าว 5 อย่าง ได้แก่ ข้าวหมาก ข้าวเม่า ข้าวตู ข้าวห้ากษัตริย์ และ ข้าวเกรียบว่าว ค่ะ จากนั้นจึงปิดท้ายด้วยขนมเบื้องหวานอีกชิ้น ให้ล้อกับที่เปิดมื้อมาด้วยขนมเบื้องเค็มค่ะ เป็นขนมเบื้องไส้ลูกพลับเชื่อมและเปลือกส้ม อร่อยดีค่ะ
ที่ Nahm มีเมนูเครื่องดื่ม ทั้งไวน์ และ ค๊อกเทล ที่เหมาะกับอาหารอีกด้วยนะคะ
บรรยากาศภายในร้านค่ะ
หากใครที่อยากทานอาหารไทยแท้ๆ สดๆ แบบไม่ใช้ของสำเร็จรูป เหมือนทานที่บ้านเพื่อนที่รักการทำอาหาร ก็ต้องหาโอกาสมาลองทานร้าน Nahm ค่ะ เราชอบที่ร้านไม่ต้องดัดแปลงอาหารไทยให้หวือหวา ไม่ต้องใช้วัตถุดิบอิมพอร์ทเว่อวัง แต่เป็นวัตถุดิบท้องถิ่นที่คัดสรรมาแล้วว่าดี ไปจนถึงรายละเอียดของใส่ใจในการเตรียมทุกจาน นั่นคือประสบการณ์ที่เราได้รับจากร้าน Nahm โดย เชฟพิม เตชะมวลไววิทย์ ค่ะ
ห้องอาหาร Nahm
ตั้งอยู่ในโรงแรม COMO Metropolitan Bangkok ถนน สาทรใต้
เปิดทุกวัน เวลา 12.00-14.00 น. และ 18.30-22.30 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ เปิดเฉพาะมื้อเย็น
สามารถสำรองที่นั่งได้ที่เว็ปไซต์ : https://www.comohotels.com/en/metropolitanbangkok/dining/nahm
หรือ โทร. 02-6253388