[รีวิว] Sushiyoshi โอมากาเสะระดับสองดาวมิชลิน จากโอซาก้า ณ โรงแรม W Bangkok

สำหรับสาวกร้านซูชิแบบ Omakase ถึงตอนนี้ทุกคนคงเคยได้ยินเสียงล่ำลือถึงร้านโอมากาเสะใหม่ล่าสุดในกรุงเทพฯ เจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์ 2 ดาว ที่ส่งตรงมาจากเมืองโอซาก้าอย่าง Sushi Yoshi กันแล้วนะคะ

ร้าน Sushi Yoshi นั้นตั้งอยู่ในโรงแรม W Bangkok และเป็นสาขาที่ 3 นอกประเทศญี่ปุ่นของเชฟ Hiroki Nakanoue แล้วค่ะ อะไรคือจุดเด่นของร้าน Sushi Yoshi ที่ทำให้ผู้คนากมายชื่นชอบ และโด่งดังกันนะ? คำตอบคือ นี่ไม่ใช่ซูชิ Omakase แบบ ดั้งเดิม Traditional ที่เราคุ้นเคยกันค่ะ ทางเชฟ Hiroki นั้นพยายามใส่ความคิดสร้างสรรค์ และใช้เทคนิกการปรุงอาหารแบบตะวันตก มาเสริมสร้างซูชิของเค้า เพื่อให้เมื่อเราทานแล้วรู้สึกสนุกและแปลกใหม่

เมื่อเข้าร้านมา เราจะพบกับ Sushi Bar ขนาด 12 ที่นั่ง บรรยากาศค่อนข้าง cozy แต่ไม่ทึบ เหมือนโอมากาเสะหลายๆ ร้านทั่วไป ด้านหลังเคาเตอร์ เป็นครัวเปิด ที่ใช้ประกอบอาหารอื่นๆนอกเหนือจากการแล่ปลา

บนโต๊ะมีแผ่นกระดาษเขียน Introduction ของร้านไว้ค่ะ เชฟบอกเลยว่า เค้าได้นำซูชิโอมากาเสะ แบบดั้งเดิม มาผสมผสานกับเทคนิคตะวันตกอื่นๆ และเค้าใช้วัตถุดิบที่ดีและสดตามฤดูกาล ส่งตรงมาจากญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า ในทุกๆ ฤดูกาลที่เราจะมากินนั้น ก็จะได้เจอกับเมนูที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ค่ะ

อย่างที่บอกไป ร้านนี้ไม่ปกติธรรมดา โดยปกติของร้านโอมากาเสะทั่วไป อาหารจานแรกของเรามักจะเป็นปลาดิบเนื้อขาวรสอ่อน อย่าง Hirame หรือ Madai หรือ Sayori แต่ที่นี่ฉีกทุกกฎเกณฑ์ เริ่มมาด้วยซุป Lobster Bisque เข้มข้น กับ Lobster  ชิ้นหนา อย่างกับเราไปนั่งทานอาหารฝรั่งเศสดีๆในญี่ปุ่นกันเสียทีเดียว

อีกหนึ่งเรื่องที่ร้าน Sushi Yoshi นั้นต่างจากร้านอื่นคือ การทำงานของเชฟในครัว โดยปกติแล้ว เชฟที่ไม่ใช่มือปั้น จะไม่ค่อยได้ออกมายืนหน้าเคาเตอร์กันเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ร้าน Sushi Yoshi นั้น ต่างจากร้านโอมากาเสะปกติ โดยเฉพาะการจัดเตรียมและปรุงวัตถุดิบ เพื่อมาเสริฟเรานั้น มีความยุ่งยากและซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยความ efficient สูงมาก เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าไม่ต้องรออาหารนานจนเกินไป เราจึงได้เห็นการแบ่งพาร์ทงานกันทำของเชฟแต่ละท่านอย่างชัดเจน

ในส่วนของตัวซูชิ ทางร้านใช้ข้าวที่หุงด้วยด้วยน้ำส้มสายชู ที่ผสมกันทั้งขาวและแดง รสชาติเปรี้ยวแต่พอดี สิ่งที่เราชอบคือการรักษาอุณหภูมิของข้าวไว้ในหม้อตลอด และนำออกมาใช้ทีละน้อยเท่านั้น

แฟนหอยเม่น หรือ Uni หลายๆท่านคงจะต้องตกหลุมรัก กับร้าน Sushi Yoshi เพราะร้านเค้าจัดมาให้อย่างเต็มที่จุใจกันเลย กับ หอยพันธุ์ Murasaki เกรดพรีเมี่ยม ชิ้นหนา ใหญ่กว่าหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเสียอีก เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง อร่อยมากๆๆๆๆ ค่ะ

เหตุผลที่เสิร์ฟมาบนมือนั้น เชฟบอกว่า เพื่อที่เราจะได้ลิ้มรส อูหนิอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากเป็นอูหนิที่ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลย ส่วนคำถัดมาเชฟทำเป็น Gunkan Maki ที่ทำให้เราได้รสสัมผัสของอุหนิพร้อม ซอส ข้าว และ สาหร่ายค่ะ

คอร์สอาหารของ Sushi Yoshi จะค่อนข้างสลับกันไป ระหว่าง ซูชิแบบ Edomae กับ จานที่ค่อนข้างแปลกใหม่แต่ว่าสนุก และเป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ โดยซูชิ traditional วันนี้ที่เราได้ทานก็มี Kinmedai, Uni, Kisu, Akami Zuke, และ Otoro ค่ะ ซึ่งคุณภาพโดยรวมแล้วถือว่าดีมาก เหมือนร้านซูชิชั้นดีทั่วไป แต่ไม่ได้โดดเด่นค่ะ ส่วนตัวคิดว่า เพราะเชฟมีหลายสาขา หลายๆ ครั้งการปั้น การเอจจิ้ง อาจจะยังไม่นิ่งเท่าเชฟหลักแบบร้านซูชิโอมากาเสะที่มีเชฟปั้นคนเดียวและขายเชฟที่ปั้นค่ะ

ส่วนอาหารแบบฟิวชั่น ที่เป็นจุดต่าง ของร้านนี้นั้น เราถือว่าทำได้ดีมากๆ และควรค่าแก่การมาชิมค่ะ

เริ่มจาก รูปบนซ้าย เป็นกั้งต้ม และท้อปมาด้วยเห็ด Matsutake และเกลือสมุทร กั้งเนื้อเด้งหวาน เจอกับกลิ่นเห็ด Matsutake อ่อนๆ เข้ากันดี

รูปบนขวา เป็นปลาทราย หรือ Kisu ทำมาสับ แล้วผสมกับชีส Grada Padano ตกแต่งด้วย Shiso Flower และใบ Nestertium จานนี้ก็แปลกใหม่ดีค่ะ

ในร้าน Sushi Yoshi นี้ หลายๆครั้ง เชฟจะนำวัตถุดิบตัวหนึ่ง มาทำทั้งซูชิแบบดั้งเดิม และ Creation ของเชฟ เพื่อให้เราได้เปิดมิติในการทานวัตถุดิบตัวนั้นๆกันค่ะ

เชฟกำลังนำปลาไปย่างกับถ่าน binchotan ค่ะ

อย่างที่บอกไปข้างต้น สองจานนี้เป็น Ootoro เหมือนกัน แต่จานแรกเสริฟมาเป็น Ootoro ย่างบนถ่าน Binchotan โรยหน้ามาด้วย Summer Truffle ในขณะที่จานที่สองมาเป็น ซูชิแบบปกติค่ะ

ถัดมาเป็น Akamoku หรือสาหร่ายแดง มีความกรุบกรอบมาก บีบมะนาวลงไป กระดกทาน สดชื่นดีค่ะ

ต่อด้วย Signature ของทานร้านคือ เค้กตับเป๋าฮื้อ เสริฟมาพร้อมกับซอสหอยเม่น และเป๋าฮื้อนึ่งชิ้นโต

ตามมาด้วย Shiro Ika ห่อสาหร่าย รสชาติหวาน นุ่มดี แต่ไม่ครีมมี่มากเท่าไหร่

แท่นแท๊นน!! นี่มันคาเวียร์!! แต่ไม่ใช่คาเวียร์แบบปกติสามัญ เพราะมันเป็นคาเวียร์ที่ผลิตมาเฉพาะให้ร้าน Sushi Yoshi เท่านั้น โดยทางเชฟ Hiroki ได้ไปเลือกคาเวียร์และหมักด้วยสูตรลับของตนเอง ทำให้ได้คาเวียร์ที่รสชาติออกมาไม่ซ้ำใคร

Shiro Ika Noodle + Finger Lime + Beri Caviar ที่หมักเอง + Karasumi จานนี้แค่อ่านส่วนประกอบก็รู้สึกอร่อยแล้ว

Beri Caviar ที่หมักเองนั้น ให้รสชาติหมักซอส ที่นุ่มละมุน ไม่เค็มเหมือนคาเวียร์ปกติ และมีกลิ่นซอสโชยุคุณภาพดีที่หมักมานาน ซึ่งมันเข้ากับ Karasumi มากๆ และเราได้ความเปรี้ยวบวกกับ texture กรุบกรอบของ finger lime มาช่วยตัดความมันของคาเวียร์ได้อีกด้วย ทั้งหมดผสานคู่กับปลาหมึกหั่นเส้น อร่อยมากจริงๆ ถือเป็น Highlight ของวันนี้สำหรับเราค่ะ

อย่างที่บอกไปค่ะ ว่าร้านนี้ไม่ได้เน้นการเสริฟซูชิเป็นคำๆ มากนัก คอร์สถัดๆไปจึงเป็นอาหารที่เราจะไม่ค่อยได้เจอในร้านซูชิเท่าใดนัก

เริ่มที่ปลาเต๋าเต้ยที่ปกติจะพบได้ในร้านอาหารจีน นำมาย่าง นุ่มและมีความมันที่ลงตัว ทานแบบนี้ก็อร่อยไปอีกแบบ

อีกหนึ่ง Signature ของร้านก็คือ Botan Ebi Cappacio, ไอศครีมมันกุ้ง, และ Lobster จานนี้ให้รสสัมผัสที่หลากหลายดีมาก แต่รสชาติติดหวานไปสักหน่อยจากไอศกรีม รวมกันแล้วข้นกลมกล่อม ส่วนตัวเราชอบมาก

กลับมาที่ซูชิกันสักเล็กน้อยกับ ปลา Aji ที่นำมาย่างฟางจนหอม แล้วนำมาทำเป็น Temaki ส่งให้ถึงมือเรา

ถัดมาคือ Katsuo ย่างแบบ Warayaki เสริฟมาพร้อมกับ มูสกลิ่นวาซาบิ วางบนแผ่นเกลือหิมาลัย อันนี้ลงตัวมากๆ หอมสโมคจากฟาง ความแน่นและจัดจ้านของเนื้อ เข้ากับความเบาละมุนของมูสวาซาบิได้เป็นอย่างดี

ปิดท้ายกันด้วย “Maki” หรือข้าวห่อสาหร่าย แต่ที่นี่เล่นใหญ่มากกกกกก!! ใช้ทูน่าจำนวนมหาศาลมาทำเป็น Tuna Futomaki ชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือมาให้เราทานกันค่ะ อยากบอกว่าขอเบิ้ลนะ

ดูความใหญ่ ความอัดแน่นของน้องมากุโร่นี้สิ มาเต็มทั้ง Akami zuke, Chotoro, Otoro เลยค่ะ

ปิดท้ายกันด้วยไอศกรีม Azuki ค่ะ เนื้อสัมผัสดีทีเดียว รสถั่วแดงอ่อนๆ ปิดท้ายมื้ออาหารกันไปอย่างคลีนๆ

จบกันไปแล้ว สำหรับโอมากาเสะ ร้าน Sushi Yoshi สำหรับเราแล้ว นี่เป็นร้านโอมากาเสะที่มีความสนุกและน่าตื่นเต้นโดยเฉพาะการนำเทคนิกการทำอาหารแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้ในร้านซูชิแบบนี้ น่าจะเป็นร้านแรกในเมืองไทยเลยก็ว่าได้ค่ะ ถ้าทุกคนเริ่มเบื่อหรือชินกับโอมากาเสะแบบดั้งเดิมแล้ว นี่ก็น่าจะเป็นร้านที่คุณควรมาค่ะ

อีกจุดหนึ่งที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียก็คือ ร้านนี้เป็นร้านสาขาของเชฟ Hiroki ซึ่งจะหมุนเวียนมาควมคุมดูแลแต่ละสาขา ทุกๆ เดือน มาอยู่ที่นี่ทีเป็นอาทิตย์ๆ ทำให้มั่นใจว่า คุณภาพดีแน่นอน แต่นั่นก็หมายความว่า ไม่ใช่ทุกคนที่มาทานจะได้เจอกับเชฟ Hiroki ค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม รอบที่เรามาไม่ได้เจอเชฟ Hiroki ซึ่งก็รู้สึกว่า อร่อยและเต็มอิ่ม แต่เพื่อนๆ foodie เล่าให้ฟังว่า ถ้าเจอเชฟ จะสนุกมาก เพราะเอนเตอร์เทนมาก

อีกเรื่องก็คือความหลากหลายของวัตถุดิบ ที่นี่ เนื่องจากไม่ใช่โอมาคาเสะแบบดั้งเดิม ทำให้วัตถุดิบหลายๆตัวที่เราคาดหวังว่าจะได้ทานในร้านโอมากาเสะดีๆ แบบดั้งเดิมนั้นหายไป เช่นเหล่า Shellfish ทั้งหลาย หรือปลาเนื้อขาวหลายชนิด แต่สิ่งที่ขาดหายไปก็ถูกแทนที่มาด้วยเมนูที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และความแปลกใหม่ค่ะ

อ้อ ที่นี่เสิร์ฟแบบจัดเต็ม อิ่มมากค่ะ ที่เราได้ทานนี่นับแล้วคือ 21 คอร์สค่ะ

Omakase ร้าน Sushi Yoshi สนนราคาอยู่ที่ 6,800++ บาท (โทรเช็คราคาก่อนได้นะคะ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่อยู่ราวๆ นี้) และเปิดวันละสองรอบคือ เวลา 17.30 – 20.00 และ 20.30 – 23.00 ค่ะ


ร้าน Sushiyoshi 

ตั้งอยู่บริเวณล็อบบี้ชั้น 1 โรงแรม W Bangkok สาทร

Website : https://www.sushiyoshibangkok.com/home 
เบอร์ติดต่อร้าน  082-546-4456 (เวลา 16:00 – 23:00 น. ยกเว้นวันจันทร์)
เบอร์ติดต่อสำรองที่นั่ง : 095-959-8830 (เวลา 9:00 – 18:00 น. วันจันทร์ถึงวันศุกร์)

ร้านเปิดทุกวัน วันละสองรอบคือ เวลา 17.30 – 20.00 และ 20.30 – 23.00 น.

error: