[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 6.1] อิสตันบูล วันแรก ดื่มด่ำ สโลว์ไลฟ์ ในย่าน Sultanahmet

ตอนที่แล้ว เราบินจากสนามบิน Izmir เข้ามาสู่เมือง Istanbul เมืองที่ใหญ่ที่สุดในตุรกีที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเมืองหลวง ซึ่งจริงๆแล้ว เมืองหลวงของประเทศตุรกีชื่อว่า ‘กรุงอังการ่า’ แต่ ‘อิสตันบูล’ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เป็นเมืองสำคัญทั้งทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ และน่าจะเป็นเมืองที่ติดอันดับเมืองที่ต้องมาเที่ยวซักครั้งในชีวิตในหลายๆลิสท์

ส่วนตัวเรา ถ้าจะให้เทียบอิสตันบูล เราจะอธิบายอย่างง่ายว่ามันคล้ายๆเมืองใหญ่ในยุโรปทั่วไป คือแหล่งท่องเที่ยวแลนด์มาร์กจะเกาะๆกลุ่มกันอยู่ย่านหนึ่ง แต่ตัวเมืองเองจะมีพื้นที่ใหญ่มาก จริงๆเทียบกับกรุงเทพก็พอได้ ประมาณว่า นักท่องเที่ยวทุกคน ต้องได้ไปโซนพระนคร วัดพระแก้ว เยาวราช มาบุญครอง แต่พอพูดถึงทองหล่ออารีย์ก็จะมีนักท่องเที่ยวน้อยลงมา ส่วนที่เหลือก็เป็นแหล่งสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ขยายออกไป

โซนที่มีแลนด์มาร์ก (พวกแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนั้นๆ) ของอิสตันบูลนั้นจะอยู่ในย่านที่ชื่อว่า Sultanahmet ซึ่งเป็นโซนที่เราจะเดินเที่ยวในวันนี้กันค่ะ


การเดินทางในอิสตันบูล

– อิสตันบูลมี 2 สนามบินนะคะ สนามบินแรกมีชื่อว่า Istanbul Atatürk Airport อยู่ฝั่งยุโรป ตัวย่อเวลาจองคือ IST ส่วนอีกสนามบินชื่อว่า Sabiha Gökçen International Airport ตัวย่อ SAW อยู่ฝั่งเอเชียค่ะ

– ทั้งทริปนี้เราใช้แค่สนามบิน IST ซึ่งเดินทางด้วยรถไฟฟ้า Metro เข้าเมืองง่ายมากค่ะ

– พูดถึงฝั่งยุโรปกับฝั่งเอเชีย ทวีปในโลกเรามันมาแยกกันตรงอิสตันบูลเนี่ยแหล่ะค่ะ จากแผนที่นี้ ลองซูมดู จะเห็นรอยแยกตรงกลางใช่มั้ยคะ นั่นแหล่ะค่ะ ที่มาของคำว่าดินแดนสองทวีป เพราะเมืองถูกแยกบนสองแผ่นทวีป ฝั่งซ้ายคือฝั่งยุโรป ติดกับประเทศกรีซและบัลแกเรีย ส่วนฝั่งขวาเนี่ย เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งติดกับตะวันออกกลางและเอเชียกลางค่ะ

– จากแผนที่ด้านบน โซนที่นักท่องเที่ยวไปกันเป็นแค่จุดเล็กๆของเมืองอิสตันบูลเท่านั้นค่ะ (แค่นี้ 3 วันยังเที่ยวไม่ทั่วเลยค่ะ)

เครดิตแผนที่ด้านล่างจาก Turkish Airline นะคะ

– การเดินทางหลักๆที่นี่เราใช้ รถไฟใต้ดิน(Metro) รถราง(Tram) รถรางแบบขึ้นเขา(Funicular) บัส เรือข้ามฟาก และ อูเบอร์แท๊กซี่ ค่ะ

– จริงๆ แค่ รถไฟใต้ดิน กับ รถราง นี่ก็ครอบคลุมมากๆแล้วค่ะ ไปได้ทุกที่ ส่วนเวลาจะข้ามฟากที่ไม่มีสะพาน ก็จะใช้เป็นนั่งเรือ หรือ รถไฟใต้ดินที่มีสายที่วิ่งจากฝั่งยุโรปไปฝั่งเอเชียได้ค่ะ

– ส่วนใหญ่เรากดกูเกิ้ลแมพเอานะคะ ไม่ได้ดูแผนที่ขนส่งมวลชนเท่าไหร่ ข้อมูลในแอพ Google Map ถือว่าตรงทีเดียว

– ค่าใช้จ่ายในการใช้ขนส่งมวลชนที่นี่ถูกมากกกกก เราเติมไปทีเดียวในบัตร Istanbulkart เป็นบัตรเติมเงินที่เติมแล้วก็เอาไปติ๊ดขึ้นขนส่งมวลชนต่างๆที่พูดถึงข้างบนได้เลยค่ะ เราเดิมครั้งเดียว 70 ลีรา (พอทั้งทริป ไปกลับสนามบิน)

– หน้าตาของสถานีแทรม ขึ้นง่าย ป้ายชัดเจน มีเวลาบอก


แผนการเดินทางวันนี้

– Blue Mosque เปิดทุกวัน
– Hagia Sophia เปิดทุกวันเวลา 09.00 น. – 17.00 น.
– Topkapi Palace เปิดเวลา 09.00 น. – 16.45 น. ปิดทุกวันอังคาร
– Basilica Cistern เปิดทุกวัน เวลา 09.00 น. – 17.30 น.
– Grand Bazaar เปิดเวลา 08.00 น. – 19.00 น. ปิดทุกวันอาทิตย์

** เรื่องเวลาเปิดปิดจะไม่เหมือนกันระหว่างฤดูร้อนกับฤดูหนาว ซึ่งวันเวลาที่เปิดปิดมีระบุไว้ในเว็ปไซต์อย่างชัดเจน แนะนำให้เช็คดีๆก่อนไปนะคะ


Blue Mosque

เราเริ่มวันกันที่ Blue Mosque จากการนั่งแทรมมาลงที่สถานี Sultanahmet เดินมาเล็กน้อย จะเห็นตัว Blue Mosque เด่นเป็นสง่าอยู่

ที่นี่บังคับทุกคนต้องคลุมศีรษะในการเข้าเยี่ยมชมนะคะ โดยจะมีผ้าคลุมผมให้ยืมฟรี หากใครที่ใส่เสื้อแขนสั้นขาสั้น ก็จะให้มาเป็นชุดคลุมแบบคลุมทั้งตัวเลยค่ะ

ที่นี่ไม่มีค่าเข้าค่ะ

ภายในใหญ่โตสวยงามมาก แต่เสียดายที่ช่วงที่เรามาเค้าปิดปรับปรุงเป็นบางส่วน ทำให้ไม่เห็นภาพเต็มๆค่ะ


Hagia Sophia

ถัดจาก Blue Mosque เราก็จะเดินทางมายังสถานที่ถัดไป ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้นะคะ อยู่แทบจะตรงข้ามกันเลย

ที่นี่คือ Hagia Sophia หรือ ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า Ayasofya (อายาโซเฟีย) สำหรับเราแล้ว ชื่อนี้เป็นชื่อที่ทำให้เรารู้จัก อิสตันบูลมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยที่เรียนเรื่องประวัติศาสตร์ยุค Byzantine ชื่อนี้จึงติดหูและรู้สึกว่ามันสำคัญมาตลอด

ค่าเข้า 30 ลีรา

ที่นี่เป็นอาคารทรงโดมที่ใหญ่มากๆ เคยเป็นโบถส์คริสต์ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกอยู่นานนับพันปี ถือเป็นจุดที่สำคัญมากๆของโลกในช่วงที่กรุงคอนสแตนตินโนเปิลเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันตะวันออก ที่นี่เป็นที่ที่เราจะได้เห็นแบบศิลปะ Byzantine ได้ชัดเจนที่สุด อย่างรูปทางศาสนาประดับโมเสคสีทองก็ถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์ และเป็นชิ้นงานที่คุ้มมากๆที่ได้มาชมของจริงซักครั้ง

ความน่าสนใจอีกอย่างคือ โบถส์นี้ เคยถูกทำให้กลายเป็นมัสยิดครั้งนึง ทำให้ด้านในเราจะเห็นทั้งร่องรอยของการเคยเป็นทั้งโบถส์คริสท์และมัสยิดอิสลาม ส่วนในปัจจุบันได้ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์(เพื่อลดข้อพิพาททางศาสนา) อย่างไรก็ตามที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอันดับต้นๆของตุรกีและของโลกก็ว่าได้

จะมีบันไดแยู่ทางซ้ายมือ สามารถขึ้นมาชมตัว อายาโซเฟีย จากมุมสูงได้ค่ะ


Seven Hills Restaurant

จาก Hagia Sophia เราเดินมายังร้านอาหารรูฟท็อปที่สามารถเห็นได้ทั้งวิวของ Blue Mosque และ Hagia Sophia เราโชคดีที่มาเร็ว จึงไม่ต้องแย่งถ่ายรูปกับใครเลยค่ะ

ร้านนี้มีชื่อว่า Seven Hills Restaurant อยู่บนโรงแรม Seven Hills ถนน Tevkifhane

จริงๆแล้วส่วนตัว เราอยากไปถ่ายรูปรูฟท็อปกันที่โรงแรม Four Seasons ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมากกว่า แต่รูฟท็อปที่โฟร์ซีซั่นจะเปิดแค่ตอนเย็นช่วงดินเนอร์นะคะ เราเลยอด

วิวโรงแรมโฟร์ซีซั่น มองจาก Seven Hills ค่ะ

บนรูฟท็อปบรรยากาศดีมากๆเลยนะคะ เพราะมองไปอีกฝั่งก็เห็นทะเล มันให้ความรู้สึกชิวมากๆเลยค่ะ

เราขึ้นมาบนนี้แล้วสั่งแต่ขนมกับเครื่องดื่มนะคะ เพราะจะไปทานอาหารเที่ยงอีกที่ เราไม่รู้ว่าอาหารร้านนี้เป็นยังไง แต่ขนมจะมีขนมที่เป็นเหมือนเค้กพุดดิ้งข้าว อร่อยมากกกกกก อร่อยแบบหมดภายในพริบตา ดีงาม

อร่อยจริงๆค่ะ
ส่วนบักลาวาหาทานได้ทั่วไป เราไปเจออีกที่อร่อยกว่านี้ แต่นี่ก็ไม่แย่นะ


Topkapi Museum

หลังจากได้เติมพลังด้วยของว่างกันแล้ว เราก็ไปต่อกันที่ พระราชวัง Topkapi ค่ะ เป็นอีกหนึ่งพระราชวังสำคัญ ที่อยู่ในบริเวณเดิม สามารถเดินถึงกันได้เลยค่ะ

ค่าเข้าพระราชวัง 60 ลีรา + ฮาเร็ม 35 ลีรา

พระราชวังสุลต่านแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยออตโตมัน ก็จะมีแบบศิลปะอิสลามแทรกอยู่เรื่อยๆ เราว่าห้องที่ตกแต่งสวยๆส่วนใหญ่ ห้องที่สวยๆจะอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า Harem

วังแห่งนี้สร้างขึ้นติดทะเลเลยค่ะ จะมีวิวทะเลสวยๆให้ชม ส่วนตัววังก็ไม่ได้เดินต่อๆกันอยู่ภายในอาคารนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นการชมนอกอาคาร และชมตามอาคารเล็กๆที่เปิดให้ดูด้านใน (ไม่เหมือนวังในยุโรป ที่เข้าไปในวังแล้วก็เดินวนอยู่ข้างในยาวๆ อันนี้ต้องเดินเข้าออกเข้าออก)

งานกระเบื้องสวยมากกกกกกกกก

วิวจากพระราชวัง

ส่วนห้องนี้จะอยู่ในส่วน Harem ค่ะ


The Kybele Hotel

ทั้งสามที่ข้างต้นใช้เวลาค่อนข้างนานนะคะ อย่าง Blue Mosque กับ Hagia Sophia ต้องมีที่ละประมาณชั่วโมงกว่าๆ (ขึ้นอยู่กับความอินด้วยล่ะมั้ง พอดีเราค่อนข้างอินในส่วนของดีเทล เลยเพ่งอยู่นาน) ส่วน Topkapi ที่เราน่าจะอยู่ไป ร่วม 2 ชั่วโมง

เวลาผ่านไปเร็วมาก เราก็หิวมากๆเช่นกัน เราเล็งๆคาเฟ่/ร้านอาหารไว้แถวๆถนน Yerebatan เพราะมันเป็นย่านที่มีตึกสีๆแบบนี้

ร้านอาหารร้านนี้ตั้งอยู่ในโรงแรมชื่อ The Kybele Hotel

ในร้านน่ารักมากๆ ด้านล่างจะดูวินเทจๆ หน่อย ส่วนด้านบนจะตกแต่งเป็นบ้านไม้ ซึ่งที่ร้านบอกว่า เป็น traditional Turkish house เป็นบ้างแบบดั้งเดิม นอกจากสีสันที่สดใสแล้ว ดีเทลการตกแต่งยังตระการตาอีกด้วย

สำหรับที่นี่ เค้าแนะนำให้เราสั่ง Cheese Pide (อ่านว่า พีเด) โอ้ววววว เกินคาดมากค่ะ อร่อยมากกกก ชีสหอมยืด แป้งดี๊ดี มันเป็นอารมณ์เหมือนทานพิซซ่าแต่ใช้แป้งพีต้าอ่ะ เราชอบกินพวก พีต้า หรือ Flatbread อยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าเป็นคอมบิเนชั่นที่ดีมากๆ อันนี้ก็เป็นอีกไอเท็มที่เบิกเนตร พอๆกับ หอยแมลงภู่ยัดไส้ข้าว กับ ขนมปังจิ้มน้ำมันมะกอกกับถั่ว ในตอนอัลตาเลียและคัปปาโดเกีย

(หมายเหตุ * ที่เรียกว่าเบิกเนตร เพราะจริงๆมันใกล้เคียงอาหารเมดิเตอเรเนียนมาก แต่มันพลิกนิดเดียว กลายเป็นอร่อยมากๆ แบบที่ที่อื่นไม่มี เช่น ชิ้นนี้ก็คือเราไม่เคยกินพิซซ่าใช้ dough ชนิดอื่นมาก่อน ส่วนพีต้าก็กินแบบเป็นแซนวิชหรือจิ้มสตูว์มาตลอด เป็นต้น)

ที่นี่สามารถมานั่งเป็นคาเฟ่ มีตัวชิชา (บารากู่) ขายด้วยค่ะ ที่นี่ มีขายทั่วไปค่ะ เป็นเรื่องปกติของคนที่นี่

อีกอย่างนึงคือ ที่เราอยากลองเวลาเดินทางไปทุกๆประเทศ คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ในประเทศนั้นๆ เพราะเราว่ามันเป็นคัลเจอร์ที่น่าค้นหา อย่าง การกินไวน์ วอดก้า หรือ เบียร์ เราก็จะพยายามไปทำความรู้จักกับ เครื่องดื่มท้องถิ่นในแต่ละที่อีกด้วย (ตัวอย่างเช่น Palinka ของฮังการี, Ouzo ของกรีซ, Bechovska ของเชครีพับลิค เป็นต้น)

ที่ตุรกี จัดว่าเป็นประเทศมุสลิมที่ชิวววววกับการกินเหล้ามากๆ เหล้าท้องถิ่นของที่นี่ชื่อว่า Raki รสชาติคล้ายๆ Ouzo ของกรีซ จะแบบยาแก้ไอๆนิดนึง แล้วแต่คนชอบค่ะ

ยังเป็นวันเดิมอยู่นะคะ แต่เปลี่ยนชุด เพราะเห็นเค้าขายแล้วรู้สึกว่ามันเข้าธีมเลยซื้อมาใส่เลยค่ะ เดี๋ยวงงกัน


Basilica Cistern

เดินถัดจากร้านมาเพียงนิดเดียวก็จะเจอที่เก็บน้ำใต้ดิน Basilica Cistern หรือ Yerebatan Saray ที่นี่เป็นโรงเก็บน้ำที่ไว้ใช้ส่งเข้าพระราชวัง Topkapi แสดงให้เห็นถึงระบบประปาในตอนนั้นค่ะ

ที่นี่เคยใช้ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Inferno ตามหนังสือของ Dan Brown ด้วย แต่ตอนเรามามันไม่มีน้ำเลย เค้าเอาน้ำออก ในหนังนี่ลงไปไล่ล่ากันอยู่ในน้ำ

นอกจากความใหญ่โต และ เสากรีกเป็นร้อยๆต้น ไฮไลท์ของที่นี่คือ หัวเสารูปเมดูซ่า ซึ่งถือเป็นประติมากรรมจากยุคโรมันที่ใหญ่และสมบูรณ์มากค่ะ

รู้สึกว่า การสร้างสิ่งแบบนี้ในสมัยนั้นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆเลยนะคะ

เดินๆอยู่มีคนมาขอสัมภาษณ์ด้วย ตลกกกกกก

The Grand Bazaar

เสร็จจากที่นี่ เราก็นั่งแทรมจากสถานี Sultanahmet ไปสองสถานี ลงที่สถานี Beyazit

ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบเดินตลาดทัวร์ลงขายของฝาก เลยไม่ค่อยประทับใจกับที่นี่เท่าไหร่นะคะ แต่ที่นี่ก็รวบรวมของฝากจากตุรกีพวกโคมไฟ เครื่องเทศต่างๆ (ของฝากอารมณ์แบบมาไทยแล้วไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก ถ้าเทียบกับไทยก็แบบ กางเกงมวยไทย โมเดลไม้รูปช้าง ซึ่งเป็นอะไรที่คนท้องถิ่นอาจจะไม่ได้มาซื้อ)

แต่ถ้าถามเรื่องราคาก็บอกได้เลยว่า ไม่ได้แพง แต่เราดันไปเจอที่ที่ถูกกว่า คือถ้าออกจาก Grand Bazaar มุ่งหน้าไปทาง Egyptian Bazaar มันจะไปเจอโซนที่เหมือนตลาดขายส่ง อารมณ์สำเพ็งๆ ซึ่งขายของแบบโหลๆหน่อย

ตรงนี้ของถูกมาก ของเหมือนในแกรนด์บาซาร์เลย แต่ราคาจะลงได้อีกครึ่งนึงหรือมากกว่าครึ่งด้วยค่ะ ส่วนเครื่องเทศและชา เราว่าไปซื้อที่ร้านชา หรือ ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ดูดีและราคาน่ารักมากๆเลยนะ ในห้างคาร์ฟู ราคาไม่แพงเลย พวกผลไม้แห้งยิ่งถูก แล้วเราว่าเรามั่นใจว่าไม่ใช่ของหลอกขายนักท่องเที่ยวด้วยค่ะ 🙂


วันนี้ เราปิดวันด้วยการไป เดินเล่นแถว Galata Tower แล้วก็ทานอาหารแถวนั้นค่ะ เน้นช้อปปิ้งบนถนน Istiklal แล้วตอนขากลับของหนักมากเลยไม่ได้รูปมาฝากเลย

เราพักที่โรงแรมชื่อ Galata Palace Hotel นะคะ ราคาไม่แพง เดินจากสถานีรถราง 2 นาที ไปไหนก็สะดวกค่ะ เพราะอยู่ฝั่ง Beyoglu ตอนกลางคืนก็ไม่เปลี่ยวนะคะ เรากลับหลังเที่ยงคืนทุกวัน โอเคมากๆเลย เป็นเมืองที่ชิวมากๆค่ะ

ทางไปจอง คลิ๊กที่นี่

สำหรับตอนถัดไป วันที่สองในอิสตันบูล กับย่าน Beyoglu อ่านที่นี่ได้เลยค่ะ


หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า

สำหรับ ทริปนี้ เราแบ่งเป็น 10 ตอนตามนี้เลยค่ะ แล้วก็ยังมีรีวิวแยกของร้านอาหารและโรงแรมให้ด้วยนะคะ 🙂

[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 1] : บทนำ แผนการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และ สิ่งที่ควรรู้
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 2.1] : Cappadocia ดินแดนในฝันที่มีมากกว่าบ้านถ้ำและบอลลูน
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 2.2] : Cappadocia ขี่อูฐ วิวบอลลูน ขับรถเที่ยวในดินแดนเหนือจินตนาการ
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 3] : Antalya เมืองเก่าสุดชิลล์ ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 4] : Pamukkale ปราสาทปุยฝ้าย บ่อน้ำแร่ที่ธรรมชาติสร้างได้เหมือนฝัน
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 5] : Ephesus เมืองกรีกโบราณ ที่อยู่ของหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 6.1] :อิสตันบูล วันแรก ดื่มด่ำ สโลว์ไลฟ์ ในย่าน Sultanahmet
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนที่ 6.2] :จิบชาในวังริมทะเล วันที่สองใน Istanbul เมืองคัลเจอร์ที่เราหลงรัก
[เที่ยวตุรกีด้วยตัวเอง ตอนจบ] : เก็บตกวันสุดท้าย ในอิสตันบูล กับประสบการณ์ Turkish Bath ครั้งแรกในชีวิต
19 ชั่วโมงใน Almaty คาซัคสถาน ภูเขาหิมะ วิวหลักล้าน ทานเนื้อม้า ให้อาหารเหยี่ยว

รีวิวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในทริปนี้
[รีวิว] สายการบิน Air Astana สายการบินแห่งชาติคาซัคสถานที่ดีเกินคาด
[รีวิว] Turkish Airlines สายการบินประจำชาติตุรกี กับเที่ยวบินภายในประเทศ
[รีวิว] Sultan Cave Suites โรงแรมถ้ำกับจุดถ่ายรูปอันเป็นเอกลักษณ์แห่ง Cappadocia
[รีวิว] Local Cave House โรงแรมที่มาพร้อมวิวสระว่ายน้ำกลางบ้านถ้ำแบบ Cappadocia
[รีวิว] Bosphorus Grill ร้านอาหารริมทะเลมาร์มาร่า ข้างพระราชวังสุดอลังการในอิสตันบูล
[รีวิว] Gazebo Lounge จิบชายามบ่าย ในรั้วพระราชวังริมทะเลวิวอลังการ เมืองอิสตันบูล
[รีวิว] Kybele Cafe คาเฟ่แสนน่ารัก ดื่มด่ำบารากุ ย่านเมืองเก่า อิสตันบูล



error: