ขับรถเที่ยว Great Ocean Road ด้วยตัวเอง EP.2 มหาสมุทร ป่าเรดวู้ด โคอาล่า และ จุดชมวาฬ

จากตอนที่แล้วที่เราพาไป รู้จักกับ Great Ocean Road ทั้งการวางแผนการเดินทาง และพาเที่ยววันแรกกันแล้ว วันนี้จะมาเที่ยววันที่สองและสามกันต่อนะคะ — หากใครกำลังหาข้อมูลว่า โรดทริป Great Ocean Road ต้องไปกี่วัน วางแผนยังไง ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ แวะเที่ยวที่ไหนบ้าง สามารถย้อนกลับไปอ่านตอนที่แล้วได้นะคะ

อ่านความเดิมตอนที่แล้ว >> ขับรถเที่ยว Great Ocean Road ด้วยตัวเอง EP.1 โรดทริปสวยอันดับโลกจากเมลเบิร์น ออสเตรเลีย

ตอนนี้ ขอพาไปเที่ยวกันต่อค่ะ หลังจากที่เมื่อคืนเราพักกันที่แคมป์กราวด์ริมแม่น้ำ Kennett River กิจกรรมยามเช้าวันนี้ของเรา คือตั้งใจตื่นไปเล่นเซิร์ฟแต่คลื่นมันไม่สวย เลยไม่ได้ลงค่ะ จึงกลับมาทำอาหารเช้าทาน นั่งทานกับนกกระตั้วบ้าง นกแก้วบ้าง แต่นกที่นัทชอบจะเป็น Superb Fairy-Wren นกเล็กๆ สีฟ้าสวยมากกก

ด้วยความที่นัทเพิ่งเคยเห็นโคอาล่าตามธรรมชาติครั้งแรก ตื่นเช้ามาก่อนไปแปรงฟันก็ไปแวะดูโคอาล่า กินข้าวเสร็จก็มาแวะดู ที่จุดตั้งแคมป์ของเรามีโคอาล่าอยู่ 2-3 ตัว เลยได้เห็นทั้งตอนน้องนอน และ ตอนกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยเลยค่ะ

วันนี้ ออกเกือบ 11 โมง เราตั้งใจมุ่งหน้าไปยัง Great Otway National Park ซึ่งอยู่บนพื้นที่ของ Cape Otway ที่นี่เป็นที่ตั้งของป่าที่มีต้นไม้พันธุ์ที่สูงที่สุดในโลกอย่าง ป่าเรดวู้ด และจุดนี้ก็ถือเป็นอีกที่ที่เซอร์ไพรส์นัทมากๆ ในออสเตรเลีย

วิธีการเดินทางเราต้องขับผ่าน Apollo Bay แล้วเลี้ยวขึ้นมา สามารถปักหมุดว่า The Redwoods Otways ได้เลยค่ะ

ป่าเรดวู้ด หรือ ต้น Redwood หรือเรียกอีกอย่างว่าต้นไม้ตระกูล Sequoia เป็นตระกูลต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งนัทเคยเข้าใจว่ามีแค่ในแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งที่นี่เองก็เอาพันธุ์มาจากที่แคลิฟอร์เนีย โดยปัจจุบันมีอายุกว่า 85 ปี และมีความสูง 60 เมตร แม้ว่าป่าที่นี่จะไม่สูงเท่าที่แคลิฟอร์เนียที่สูงกันเป็นร้อยเมตร (หนึ่งต้น สูงกว่าหอนาฬิกาบิ๊กเบนที่ลอนดอน) แต่ก็ถือเป็นป่าที่ชะอุ่มและตอนเดินผ่านต้นเรดวู้ดก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติมากๆ ป่านี้คือจอดรถแล้วเดินเข้ามาถึงเลยนะคะ ไม่ต้องขึ้นเขาลงห้วย

ขับมาแค่ 5 นาทีใกล้ๆ จะเป็นที่อยู่ของน้ำตก Hopetoun Falls แต่น้ำตกแห่งนี้ ต้องเดินลงบันไดและเดินขึ้นกลับมา โดยไปกลับจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแบบเหนื่อยหอบประมาณนึงค่ะ ตัวน้ำตกสูงสามสิบเมตรค่ะ

นอกจากตรง Redwoods และ Hopetoun Falls แล้ว ใครมีเวลาเหลือ แถวนี้ยังมีน้ำตก Beauchamp Falls แล้วก็กิจกรรม Otway Fly Treetops Walk ซึ่งเป็นทางเดินบนยอดต้นเรดวู้ด ซึ่งสูงและน่าตื่นเต้นทีเดียวค่ะ เช็คราคาและซื้อบัตร Klook.com คลิ๊กที่นี่ได้เลย

หลังจากที่เที่ยวในป่ากันเสร็จ เราก็ขับรถย้อนกลับมาที่ Great Ocean Road โดยครั้งนี้ จะเข้ามาถึงตรงจุดชมวิว Gibson Steps ซึ่งเป็นจุดชมวิวแรกในอุทยานแห่งชาติ Port Campbell National Park ก่อนจะถึงไฮไลท์อย่าง Twelve Apostles ค่ะ (ห่างกันแค่สองนาทีเอง) ซึ่ง Gibson Steps ตั้งชื่อตามชายผู้ที่เคยอาศัยอยู่ใกล้ๆ และทำทางเลาะลงไปยังหาด ซึ่งในปัจจุบันจากจุดชมวิวก็สามารถเดินลงบันได 86 ขั้นไปยังหาดด้านล่างได้ค่ะ

ส่วนพวกนัทไปถึงคือพายุเข้า ตอนแรกแพลนดูพระอาทิตย์ตกที่ Twelve Apostles เลยต้องเปลี่ยนแพลนเข้าแคมป์กราวด์ก่อนแทน

คืนนี้เราพักกันที่ Princetown Recreation Reserve and Camping ค่าใช้จ่ายคนละ 10AUD ค่ะ ที่จุดตั้งแคมป์นี้มีจิงโจ้ด้วย ฝนตกๆ หยุดๆ ในช่วงคืนนี้ และช่วงเช้า เลยไม่ได้ทำอะไรมากค่ะ พวกเราทำอาหาร เล่นบอร์ดเกมส์กัน ก่อนจะเริ่มเที่ยวต่อในวันที่สามค่ะ

หากใครไม่ได้ไปจุดตั้งแคมป์ ที่พักแนะนำในเส้นทางจะประมาณนี้ค่ะ (คลิ๊กที่ชื่อเพื่อเช็คราคาได้เลย)

Portside Motel โรงแรมขนาดกลาง โลเคชั่นดี ราคาดี อยู่ใน Port Campbell ที่มีร้านอาหารหลายร้านค่ะ
Number 9 Leisure Stay อพาร์ทเม้นท์สองห้องนอน
Twelve Apostles Ocean View เป็นบ้านหลังสามห้องนอน ที่ล้อมไปด้วยฟาร์มแกะ ฟาร์มวัว เห็นทะเลลิบๆ ขับแป้ปเดียวถึง Twelve Apostles


Day 3

เข้าสู่วันสุดท้ายของทริปสั้นๆ ทริปนี้แล้วค่ะ วันนี้เราขับรถไปตามจุดชมวิวต่างๆ ริมทะเลตลอดแนวเลย

จุดแรกของเราในวันนี้ คือจุดไฮไลท์ ที่เป็นภาพโปรโมท ภาพแลนด์มาร์กของ Great Ocean Road ไปแล้ว ที่นี่คือ Twelve Apostles แปลตรงตัวว่า 12 สาวก แต่จริงๆ ชื่อนี้เป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งตั้งเป็นทางการเมื่อปี 2002 ที่ผ่านมาค่ะ ก่อนหน้านี้ หมู่หินตรงนี้ถูกเรียกว่า Sow and Piglets แปลตรงตัวว่า แม่หมูและลูกหมู และเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นชื่อที่เราใช้เรียกกันในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ตามบันทึกและข้อมูล เสาหินตามธรรมชาติกลางทะเลเหล่านี้ ไม่เคยมี 12 เสานะคะ มีแค่ 9 มาตลอด แต่เพิ่งล้มไปอันนึง เหลืออยู่ 8 และสามารถมองเห็นได้จากจุดชมวิวแค่ 7 อันค่ะ

ถึงนัทจะเกริ่นไปตอนแรกว่า ที่นี่ไม่ได้คุ้มที่จะขับรถมา 3.5 ชม. แล้วขับกลับอีก 3.5 ชม. เพื่อจุดเดียว แต่จุดนี้ เป็นจุดที่สวยและอลังการมาก อย่างที่บอกว่าเมื่อคืนพายุเข้า พอวันนี้ เจอลมแรง คลื่นใหญ่ เราเลยรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่มีเสาหินพวกนี้ตั้งอยู่กลางทะเล และเป็นรูปร่างที่ฟอร์มมาเป็นล้านๆ ปี และไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงและเมื่อไหร่ เป็นความเป็นไปและไม่เที่ยงของธรรมชาติจริงๆ ค่ะ

ตรง Twelve Apostles ลานจอดรถใหญ่มากนะคะ แล้วเค้าจะมีทางให้เดินลอดถนนมา คือตามป้ายและฝูงชนได้เลยค่ะ ยังไงก็ไม่หลง

จากตรงนี้ เราแทบไม่ต้องดูกูเกิ้ลแมพเลยค่ะ เพราะถนนเป็นเส้นเดียว แล้วแต่ละจุดที่เราแวะ คือมีป้ายชัดเจน มีที่จอดรถเป็นกิจจะลักษณะค่ะ

จุดถัดไปที่เราแวะคือ Loch Ard Gorge และ The Razorback ซึ่งใช้ที่จอดรถเดียวกัน แต่เดินเข้าไปแยกกันนิดหน่อย ซึ่งตอนที่นัทไป จุดชมวิว Loch Ard Gorge ปิดซ่อมชั่วคราวค่ะ แต่จุดนี้คือมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรือจมเช่นกัน ในปี 1878 มีเรือบรรทุกสินค้าจากอังกฤษที่จะเข้ามา แต่ด้วยความมืดและหมอก จึงไม่รู้ตัวว่าได้เข้ามาใกล้จุดน้ำตื้น และมีหินด้านล่างทำให้เรือจม แต่มีผู้รอดชีวิต 2 คนคือ Tom Pearce และ Eva Carmichael โดยทอมขึ้นฝั่งมาก่อน แล้วได้ยินเสียงคนขอให้ช่วย จึงลงทะเลกลับไปช่วยอีวา ทำให้ทอมกลายเป็นฮีโร่ในยุคนั้นค่ะ

ส่วน The Razorback ก็ตามชื่อเลยค่ะ เป็นหินในทะเลที่รูปร่างประหลาด คราวนี้มาเป็นแนวยาวและสันคมและบาง เป็นอีกอนุสรณ์จากธรรมชาติที่น่าตื่นตาค่ะ

จุดถัดไปบนเส้นทาง ยังอยู่บนถนนสาย Great Ocean Road โดยเราจะผ่าน เมืองเล็กๆ อย่าง Port Campbell กันก่อน ที่นี่เราเลยแวะเข้าห้องน้ำ ทานกาแฟ แต่คนส่วนใหญ่จะใช้เป็นที่พักหากมาแบบ สองวันหนึ่งคืนค่ะ บรรยากาศในเมืองก็ถือว่าน่าอยู่เลยทีเดียว

ขับอีกไม่กี่นาที จะถึงจุดที่ชื่อว่า London Bridge หรือ London Arch ซึ่งถ้าแอบเรียนตามตรง นัทว่ามันเริ่มคล้ายๆ กันแล้วค่ะ แต่แต่ละจุดเค้าจะมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง ทำให้มีความน่าสนใจขึ้นมา แต่จุดนี้ สมัยก่อน มันจะเป็นรูปสะพานโค้งที่มีอาร์คข้างล่างสองโค้ง ซึ่งอีกโค้งคือต่อมาถึงตรงแผ่นดินค่ะ และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ London Bridge แต่เมื่อวันที่ 15 มกราคม ปี 1990 อาร์คโค้งตรงที่เชื่อมกับชายฝั่งได้ถล่มลงไป ความพีคคือ มีนักท่องเที่ยวสองคนติดอยู่ คืออยู่บนหินที่เราเห็นในรูปปัจจุบันเนี่ยค่ะ แต่ทางการก็นำเฮลิคอปเตอร์มารับนะคะ ส่วนที่เหลืออยู่ หากใครไม่เคยเห็นพวกเกาะหรือเขาทะลุ แบบในรูป ก็ถือเป็นอีกจุดที่น่าสนใจค่ะ

The Grotto จุดนี้เป็นจุดที่นัทชอบมากกก และคิดว่าเป็นการกร่อนของหินตามธรรมชาติที่น่าทึ่งและสวยงามค่ะ ชื่อก็ตรงตัวเลย Grotto เหมือนเป็นถ้ำ แต่มีส่วนที่ทะลุออกไปที่ทะเล และเกิดเป็นบ่อน้ำอยู่ด้านใน เวลาคลื่นสาดคือสวยมากๆ ค่ะ ตรงนี้ต้องเดินลงบันไดลงมาและต้องเดินขึ้นขากลับแต่ไม่เหนื่อยมากค่ะ

จุดสุดท้าย ก่อนจะขับเข้าไปทานแผ่นดินและหันหลังให้กับทางเลียบทะเลแห่งนี้ Bay of Islands อีกหนึ่งจุดชมวิวริมทะเล ที่คราวนี้ เราจะเห็นเป็นอ่าวค่ะ จริงๆ วิวคล้ายๆ เดิมตลอดทางเลย

แถวนี้มีที่จอดรถข้างทางค่อนข้างเยอะ เลยจอดทำอาหารเที่ยง นอนเล่น ดูวิวทะเล และเคลียร์รถก่อนกลับค่ะ

ขากลับเรามีผ่านเมือง Timboon ซึ่งจะเป็นพวกพื้นที่ฟาร์มแล้วค่ะ ทำให้จุดที่คนมาแวะในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ คือ โรงกลั่นวิสกี้ โรงทำชีส และ โรงทำไอศครีมค่ะ โดยเรามุ่งหน้าไปแวะที่ Timboon Fine Ice Cream ร้านไอศครีมที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นแล้วมีรสชาติอร่อยๆ หลายรสมาก ร้านน่ารักด้วยค่ะ นัทชอบที่เค้ามีรสแบบ Rhubarb, Apple Pie, Licorice แต่สุดท้ายนัทมาจบที่รสเบสิคอย่าง Honeycomb เพราะน้ำผึ้งกับนมแถวนี้ มันละมุนจริงๆ ค่ะ

จากนั้นเราก็มุ่งหน้ากลับเมลเบิร์นค่ะ เป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจมากๆ ค่ะ


สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า



ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: