คู่มือขับรถเที่ยว Great Ocean Road ด้วยตัวเอง EP. 1 โรดทริปสวยอันดับโลกจากเมลเบิร์น ออสเตรเลีย

นัทได้ยินชื่อ Great Ocean Road ในรัฐวิคตอเรีย ใกล้เมลเบิร์น ออสเตรเลีย มานานมากแล้ว ตอนแรกก็เข้าใจว่ามันคือเส้นทางเรียบทะเล ที่ชมวิวผาและทะเลไปเรื่อยๆ แต่พอได้มาด้วยตัวเอง กลับพบว่า The Great Ocean Road มีอะไรมากกว่าที่เราจะสามารถเห็นในภาพโปรโมทเยอะมากๆ การทำโร้ดทริปขับรถเที่ยวเส้นทางนี้ คือการเอาตัวเองไปพักผ่อนในธรรมชาติอย่างแท้จริง เป็นอะไรที่ต้องเอาตัวเองไปสัมผัสและไม่สามารถถ่ายทอดผ่านเพียงรูปถ่ายได้ค่ะ

ประสบการณ์ตลอดโร้ดทริปบน เกรทโอเชียนโร้ด ของเราครั้งนี้ เราได้พบกับโคอาล่าตามธรรมชาติ ตั้งแคมป์กับจิงโจ้ มีนกสวยงามให้ชมตลอดทาง ไปเดินป่าเรดวู้ด พันธุ์ต้นไม้สูงที่สุดของโลก ผ่านฟาร์มวัวนมที่มีร้านไอศครีมทำเอง ทานข้าวกับวิวสวยๆ ทุกมื้อ

ความเห็นส่วนตัวคงต้องบอกว่า ถ้านัทขับรถไปสามชั่วโมง เพื่อจุดที่ดังที่สุดของเส้นทางนี้ เป็นหมู่หินกลางทะเลที่ชื่อว่า “Twelve Apostles” อย่างเดียว ส่วนตัวคงผิดหวังกับชื่อ Great Ocean Road แต่ตลอดเวลา 3 วัน 2 คืนที่นัทเช่ารถบ้านเพื่อไปแคมป์บนถนนเส้นนี้ ทำให้นัทตั้งใจว่าต้องกลับมาที่นี่ให้ได้ และจะกลับมาให้เวลากับถนนเส้นนี้มากกว่านี้มากๆ เลยค่ะ (หมายเหตุ* ไม่ใช่ Twelve Apostles ไม่สวยนะคะ สวยมาก แค่ไม่คุ้มขับมา 3 ชม กลับ 3 ชม จากเมลเบิร์นเพื่อแค่อย่างเดียว และคิดว่าที่เที่ยวบนเส้นนี้ มีอะไรน่าสัมผัสอีกเยอะมากกกกค่ะ)


รู้จัก Great Ocean Road

– The Great Ocean Road คือถนนสาย B100 ความยาว 240 กม. จากเมือง Torquay ไปถึงเมือง Allansford โดยตลอดเส้นทางจะมีเมืองเล็กๆ สลับกับทะเล ผา แม่น้ำ ป่า วิวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นถนนสภาพดี อาจจะมีการก่อสร้างบางจุดสั้นๆ แต่เป็นระเบียบ ขับง่าย และยึดเวลาตามกูเกิ้ลแมพได้จริง

– สิ่งที่โด่งดังเกี่ยวกับ Great Ocean Road คือ หาดสำหรับการเล่นเซิร์ฟระดับโลก เหล่าหินผากลางทะเลที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะมาเป็นล้านปี และ ซากเรือจม แต่สิ่งที่คุณสามารถสัมผัสได้จากที่นี่ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติ ทั้งป่าสนสูง ไม้พุ่มเตี้ย โคอาล่าในป่ายูคาลิปตัส ฝูงจิงโจ้ และ จริงๆ สามารถชมวาฬจากบนบกได้อีกด้วยค่ะ

– ปัจจุบัน ถนนเส้นนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกแห่งชาติออสเตรเลีย (Australia National Heritage) ด้วยนะคะ

– เราได้ผ่านอุทยานแห่งชาติหลายแห่งเลยค่ะ และตลอดเส้นทางไม่เสียค่าเข้าเลย ไม่มีค่าที่จอดและมีแคมป์กราวด์ฟรีเยอะมากๆ

– ทริปนี้นัทมาหน้าหนาว (กลางเดือนสิงหาคม) อากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เปลี่ยนทุกๆ สิบนาที เจอทั้งฝนตก แดดออก อากาศเย็นสบาย อากาศหนาวมากกก ลมแรงแบบปลิว แต่สนุกมากค่ะ ประทับใจทุกเวลา


วิธีการเดินทางเที่ยว Great Ocean Road

อันนี้ นัทเหมารวมว่าเริ่มต้นออกเดินทางจากเมลเบิร์นนะคะ เพราะการเข้ามาสู่เส้นทางสายนี้ สนามบินเมลเบิร์นเป็นสนามบินที่ใกล้ที่สุดค่ะ

1. เช่ารถขับ – ถ้ามีเพื่อนร่วมทาง น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายและคุ้มค่าที่สุดค่ะ เพราะค่าเช่ารถที่ออสเตรเลียไม่ได้สูงมาก ถนนขับง่าย ขับฝั่งเดียวกับไทยค่ะ ขับรถเองก็จะกำหนดเวลาง่าย วางแผนง่าย จะมาหนึ่งวันหรือหลายวันก็สะดวก ตามเมืองต่างๆ มีที่พักอยู่ตลอดค่ะ

เทียบราคารถเช่า โปรโมชั่นรถเช่า >> คลิ๊กที่นี่

2. ขนส่งสาธารณะ – จะต้องนั่งรถไฟจากในเมืองเมลเบิร์น มาลงที่ Geelong แล้วต่อรถบัสอีกที ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดจริง แต่ต้องจัดการเวลาดีมากๆ และยังไงก็ต้องพักหนึ่งคืนที่ Warrnambool โดยรถบัสที่ไปถึง Twelve Apostles นั้นจะมีเฉพาะวันจันทร์ พุธ ศุกร์ และมีเวลาเดียวค่ะ ออกจาก Apollo Bay Info Centre ตอน 13.22 น. (ซึ่งต้องนั่งรถไฟมาจากเมลเบิร์นตอน 9.10 น. และ ต่อรถบัสจาก Geelong มาลง Apollo Bay) โดยบัสสายนี้ จะหยุดที่ Twelve Apostles ประมาณ 30 นาที ส่วนจุดอื่นหยุดแค่ 10 นาที ซึ่งลงไปชมวิวไม่ทันนะคะ และไปจบที่ Warrnambool สามารถดูตารางรถและซื้อตั๋วได้ที่ https://www.vline.com.au/

3. ทัวร์แบบเดย์ทริป – หากใครไม่สะดวกขับรถ มีเวลาจำกัด อันนี้น่าจะเป็นออปชั่นที่เหมาะสุดค่ะ ออกเช้า กลับถึงเมลเบิร์นสามทุ่ม แต่คุ้มนะคะ เพราะครอบคลุม พวก Twelve Apostles, ป่าที่มีโคอาล่า, เมืองและจุดชมวิวต่างๆ เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ขายดีที่สุดของเมลเบิร์นและมีรีวิวลูกค้าชาวไทยเยอะค่ะ ทางไปจองทัวร์หนึ่งวันบน Great Ocean Road >> คลิ๊กที่นี่

4. รถบ้าน (Campervan) เป็นวิธีที่นัทใช้ในทริปนี้ และแฮปปี้มากกกกค่ะ คือนัทเคยโรดทริปในรถบ้านแบบรถตู้ Campervan อยู่แล้ว ภายในรถมีตู้เย็น มีเตาแก๊ส ซิงค์น้ำ ทำอาหารได้ครบ กางออกมาเป็นที่นอน นอนได้ 3 คนค่ะ ด้วยความที่วัตถุดิบในซุปเปอร์มาร์เก็ตของออสเตรเลีย สดมากกก และ ราคาดีมากๆ เพราะแทบไม่ต้องอิมพอร์ท นัทไม่แวะร้านอาหารเลยนะคะ อย่างสเต๊กเนื้อออสเตรเลีย คือกินรัวๆ ทุกมื้อ ราคาดีมากจริงๆ ส่วนเวลานอนก็จะไปจอดตามแคมป์กราวด์ ซึ่งมีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ทุกที่ก็จะมีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องครัว ที่เติมน้ำ เหมือนจุดกางเต๊นท์เมืองไทยอ่ะค่ะ ทริปนี้ก็จะไม่มีค่าอาหารกับค่าโรงแรมเพิ่มแล้วค่ะ

รถแคมป์เปอร์แวน แนะนำให้ลองเสิร์ชหาเลย เพราะมีหลายเจ้า นัทใช้ Camplify ซึ่งมันเป็นแพลตฟอร์มให้เจ้าของรถบ้านเอารถมาปล่อยให้เช่า ลักษณะเดียวกับ Airbnb แต่เป็นรถบ้านอ่ะค่ะ — ซึ่ง รถบ้าน ก็เหมือนบ้าน เจ้าของแต่ละคนตกแต่งไม่เหมือนกัน มีเฟอร์นิเจอร์ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ต้องเลือกให้เหมาะกับทริปตัวเองค่ะ เลือกแทนกันไม่ได้ มันมีออปชั่นเยอะ เช่น ทริปนี้นัทรู้ว่า ไม่ต้องการห้องน้ำในตัว แต่ขอมีเตากับซิงค์ ขอรถตู้ที่ยืนข้างในแล้วหัวไม่ชน ที่เก็บของใส่เซิร์ฟบอร์ดได้ นอนได้ 3 คน เกียร์ออโต้ ประมาณนี้ค่ะ


แผนการเดินทาง Great Ocean Road 3 วัน 2 คืน

เรื่องระยะเวลาในการเดินทาง นี่แล้วแต่ความชิลล์ และ ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนเลยค่ะ ของนัทคือ 3 วันไม่พอ จริงๆ มีแพลนไปแช่ออนเซนแบบฮอทสปริงที่ Warrnambool ต่อ และระหว่างทางมีปักหมุดน้ำตก กับ เส้นทางเดินป่าสั้นๆ ไว้อีก แต่เวลาไม่พอค่ะ ส่วนคนออสที่เจอตามแคมป์ระหว่างทาง ส่วนใหญ่มากัน 10-14 วัน เพราะเค้าเอาเซิร์ฟบอร์ดติดรถมาเล่นเซิร์ฟ บางกลุ่มมาตกปลา คือคนออสคือสายกิจกรรมจริงค่ะ ประทับใจ อย่างไรก็ตาม ทัวร์แบบเดย์ทริปตามลิงค์นี้ และ ทริปแบบ 2 วัน 1 คืน ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

ถ้าทริปแบบ 2 วัน 1 คืน แนะนำให้ข้ามตรงที่นัทไปป่า Otway แล้วจบแค่ตรงเมือง Port Campbell ก็กำลังพอดีๆ ค่ะ

Day 1 : ออกจากเมลเบิร์น, แวะซื้อวัตถุดิบที่ Torquay (ซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่อันสุดท้าย), ชมวิวและทานอาหารเที่ยง Bells Beach Lookout, ชมวิว Split Point Lookout, เดินป่าดูโคอาล่าตามธรรมชาติ Kennett River Nature Walk

พัก : จุดตั้งแคมป์ Kennett River Caravan Park ค่าบริการคนละ 14AUD *จริงๆ วันนี้ ตั้งใจจะขับไปแคมป์กราวด์ฟรีที่ Beauchamp Falls แต่ว่าไม่ทันเพราะเดินป่านานกว่าที่คิด เลยพักกันที่เส้นทางดูโคอาล่าเลยค่ะ
ที่พักแนะนำในเส้นทาง (คลิ๊กที่ชื่อเพื่อเช็คราคาได้เลย) : The International, Apollo Bay โรงแรมราคาประหยัด
Skenes Beach House บ้านกระจกสวยมากกห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ วิวทะเล
Kennett Bach บ้านสามห้องนอน ใกล้ Kennett River วิวทะเล

Day 2 : เราชิลล์อยู่ที่แคมป์กราวด์เกือบ 11 โมงเลยค่ะ ไปเดินป่าที่มีพันธุ์ไม้ที่สูงที่สุดในโลก The Redwoods Otways, เที่ยวน้ำตก Hopetoun Falls, ชมวิวที่ Gibson Steps และ ชมพระอาทิตย์ตกที่ Twelve Apostles

พัก : จุดตั้งแคมป์ Princetown Recreation Reserve & Camping เป็นแคมป์กราวด์ที่มีจิงโจ้ตามธรรมชาติอยู่รอบๆ ล้อมด้วยเนินเขา ทะเลสาบ ตรงนี้สวยมากค่ะ
ที่พักแนะนำในเส้นทาง (คลิ๊กที่ชื่อเพื่อเช็คราคาได้เลย) : Portside Motel โรงแรมขนาดกลาง โลเคชั่นดี ราคาดี อยู่ใน Port Campbell ที่มีร้านอาหารหลายร้านค่ะ
Number 9 Leisure Stay อพาร์ทเม้นท์สองห้องนอน
Twelve Apostles Ocean View เป็นบ้านหลังสามห้องนอน ที่ล้อมไปด้วยฟาร์มแกะ ฟาร์มวัว เห็นทะเลลิบๆ ขับแป้ปเดียวถึง Twelve Apostles

Day 3 : จริงๆ วันนี้เป็นเก็บจุดชมวิวชายฝั่งหมดเลยค่ะ แต่ละจุดก็จะใช้เวลาเดินลงไป ชมวิว ถ่ายรูป 10-20 นาที นัทแวะ Twelve Apostles, Loch Ard Gorge, The Razorback ตรงนี้ดังเรื่องเรือล่มค่ะ มีแวะเมือง Port Campbell จุดชมวิว London Bridge, The Grotto ตรงนี้สวยมากๆ ค่ะ, Bay of Islands แล้วขับรถกลับมาแวะเมือง Timboon ก่อนกลับเมลเบิร์นค่ะ *จริงๆ หากมีเวลาเหลือ แนะนำให้ขับไปแช่ฮอทสปริงที่ Warrnambool นะคะ


ค่าใช้จ่าย Great Ocean Road Trip (หารสามคน)

– ค่าเช่ารถแบบมีประกันเต็ม 5,800.-
– ค่าแคมป์กราวด์ 2 คืน คนละ 24$ ~ 550.-
– ค่าวัตถุดิบ ขนม ของกิน ปัดขึ้นตกคนละ 1,100.-
– ค่าน้ำมันรถ(ดีเซล) หารแล้วตกคนละ 1,000.-
นอกนี้ มีซื้อกาแฟกับไอศครีมประมาณอย่างละร้อยนะคะ

ตกคนละ ~8,450.- ค่ะ จริงๆ เช่ารถธรรมดาขับ ถูกกว่านะคะ แต่นัทชอบชีวิตรถบ้าน Van Life ตั้งแต่ไปโรดทริปที่แคลิฟอร์เนียคราวที่แล้ว ติดใจ มันดีมากจริงๆ ค่ะ


Great Ocean Road Trip

เราออกจากเมลเบิร์น ไปรับรถแคมเปอร์แวนที่จะเป็นบ้านของเราสำหรับ 3 วันต่อจากนี้ ขับออกจากเมลเบิร์นมาประมาณ 1 ชม.นิดๆ ก็จะถึงเมืองแรกก่อนเข้าสู่ถนนสาย Great Ocean Road และเป็นเมืองใหญ่เมืองสุดท้าย ที่จะมีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่อย่าง Coles หรือ Woolsworth เพราะถัดจากนี้ จะมีแค่ร้านขายของชำและร้านสะดวกซื้อแล้วค่ะ

เราแวะเมือง Torquay เพื่อซื้อของกินสำหรับ 3 วัน งบคนละพันบาทนิดๆ อิ่มทุกมื้อเลยค่ะ ** สำหรับใครที่ขับรถเที่ยวเอง ตลอดเส้นทาง ที่พักสวยๆ มักจะเป็นบ้านตากอากาศสไตล์ให้เช่าทั้งหลัง วิวสวย และส่วนใหญ่มีครัวครบเซ็ทค่ะ แม้ไม่ได้มาแคมป์แบบนัท ก็สามารถพิจารณาซื้อวัตถุดิบไปทำกินได้นะคะ แต่แนะนำให้ซื้อที่นี่เลย เพราะตามเมืองเล็กๆ ของน้อยมากค่ะ

ขับออกมาจาก Torquay แป้ปเดียวก็จะเจอกับหาดแรกอย่าง Bells Beach จุดนี้เป็นจุดเซิร์ฟระดับโลก และในวันที่อากาศดี คุณจะได้เห็นคนขับรถบ้านแบบเรา ขนเซิร์ฟบอร์ดใส่รถ ลงไปเล่นเซิร์ฟกันเต็มหาดเลยค่ะ แต่วันที่เรามานี้ เป็นวันคลื่นแย่ เลยเจอนักเซิร์ฟแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

แต่แม้ว่า คุณจะไม่ได้อินกับการเล่นเซิร์ฟ Bells Beach Lookout ก็ยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มีสะพานไม้ที่เป็นระเบียงสำหรับชมวิวมหาสมุทรใต้อันยิ่งใหญ่

ขับรถไปอีกครึ่งชั่วโมง เข้าสู่เขตเมือง Aireys Inlet นัทมุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวที่มีชื่อว่า Split Point Lookout ที่เป็นที่ตั้งของ Split Point Lighthouse ประภาคารสีขาวแห่งนี้สูง 34 เมตร และ ตั้งอยู่ 66 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี และทุกวันนี้ยังคงใช้งานอยู่ในระบบอัตโนมัติ ประภาคารแห่งนี้ ยังคงส่องแสงเป็นสัญญาให้กับเรือที่สัญจรไปมาอยู่ค่ะ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย น่านน้ำและชายฝั่งยาวตลอดแนวนี้ ถูกเรียกอีกชื่อว่า Shipwreck Coast ยาวประมาณ 130 กม. และเชื่อว่ามีเรือจมอยู่แถบนี้กว่า 700 ลำ ซึ่งตอนนี้ค้นพบประมาณ 240 ลำ — นักเดินเรือชื่อดังที่มาออสเตรเลียหลายคนกล่าวว่าไม่เคยเห็นน่านน้ำที่น่ากลัวขนาดนี้ แล้วเค้ามีทัวร์เรื่องเรือจมเป็นจริงเป็นจังมาก ซึ่งในฐานะคนไทยเราฟังแล้วอาจจะรู้สึกว่าดูหลอนๆ แต่เท่าที่นัทอ่านมา ออสเตรเลียจัดนิทรรศการและทัวร์ ในเชิงให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเดินเรือ นักเดินเรือ กลไกลต่างๆ คือทุกอย่างดูวิทยาศาสตร์มากๆ ค่ะ

ตรงหน้าของเราคือ Eagle Rock Marine Sanctuary ซึ่งถ้าใครโชคดีอาจจะได้เห็นฝูงปลาโลมา และ ฝูงวาฬอพยพได้ค่ะ

บรรยากาศแถวนี้ดีมากๆ นะคะ วิวสวย อากาศสดชื่น มี Tea Room ซึ่งนักท่องเที่ยวแวะกันเกือบทุกคนเลยค่ะ

ขับรถไปอีกประมาณ 50 นาที นัทมุ่งหน้าไปยัง Kennett River Nature Walk ซึ่งเป็นที่ที่เราจะเห็นโคอาล่าตามธรรมชาติได้ค่ะ ระหว่างทางไปเราจะผ่านเมือง Lorne ซึ่งเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ในแถบนี้ค่ะ เมืองนี้ร้านอาหารเยอะ มีซุปเปอร์มาร์เก็ตและที่พักเยอะค่ะ คนมาแคมป์เล่นเซิร์ฟเยอะ แต่เมืองนี้นัทไม่ได้แวะนะคะ เขียนเป็นข้อมูลไว้เผื่อให้ค่ะ

มาถึง Kennett River Nature Walk ชื่อก็ตามตัวเลยค่ะ เป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติริมแม่น้ำ Kennett River ซึ่งเป็นแม่น้ำความยาว 174 กม. โดยส่วนที่เราจะมาเดินคือส่วนที่อยู่ติดกับทางออกทะเลเลยค่ะ

จำนวนโคอาล่าตามธรรมชาตินั้น ลดลงค่อนข้างเยอะอย่างน่าเศร้าค่ะ อย่างไรก็ตาม ที่นี่เป็นไม่กี่ที่ในออสเตรเลีย ที่เราจะสามารถเห็นโคอาล่าตามธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดมากๆ นัทเห็นน้องทั้งกิน ปีนต้นไม้ นอนไม่ขยับ และในฐานะคนที่ไม่ชอบเห็นสัตว์ในพื้นที่แคบๆ การได้เจอโคอาล่าตามธรรมชาติ ในป่าใหญ่แบบนี้ เป็นอะไรที่พิเศษมากกกกค่ะ

เส้นทางศึกษาธรรมชาติริมแม่น้ำเคนเนทนี้ ความยาวจริงๆ ประมาณ 15 กม. แต่คนส่วนใหญ่จะเดินกันแค่ประมาณ 1-2 กม.ค่ะ ซึ่งนัทจะบอกว่า พวกเราเจอโคอาล่ากันตั้งแต่ 300 เมตรแรก เจอจิงโจ้ เจอนกมากมาย แม้จะไม่ใช่สายลุยก็มาเดินชิลล์ๆ ได้ค่ะ มีป้ายอธิบายสัตว์แต่ละชนิดตลอดทาง

จิงโจ้ก็คือกระโดดมาเป็นฝูงใหญ่เลย ซึ่งคนออสเตรเลียเค้าจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับจิงโจ้เท่าไหร่ แต่นี่คือครั้งแรกของนัทเหมือนกันค่ะที่ได้เห็นจิงโจ้นอกสวนสัตว์ ตอนมันกระโดดเดินทางกันเป็นฝูง มันดูยิ่งใหญ่อลังการอยู่นะคะ วิวด้านหลังเป็นเนินเขาและป่างี้ เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ ค่ะ

คืนนี้ นัทนอนกันที่ริมแม่น้ำ Kennett River นี่เลยค่ะ เป็นแคมป์กราวด์ที่มีเซิร์ฟคลับ คนเดินข้ามถนนไปเล่นเซิร์ฟกัน ตอนกลางคืนเดินไปดูหนอนเรืองแสงได้ ดาวเต็มฟ้าเลย แล้วก็มีโคอาล่าในแคมป์ของเราด้วยค่ะ ห้องน้ำ ห้องครัว สะอาด อยู่สบายๆ เลยค่ะ

ด้วยความที่ตอนนี้ นัทเกริ่นเรื่องการวางแผนค่อนข้างยาว เพราะอยากให้ทุกคนได้วางแผนทริป Great Ocean Road ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เวลา ความชอบ หรือ คนร่วมทริปจริงๆ เลยขอต่อ วันที่สองกับวันที่สาม ไว้ตอนหน้านะคะ

คลิ๊กที่นี่เพื่ออ่านต่อตอนที่ 2


สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า

 



ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: