[เที่ยว ซาอุดิอาระเบีย ด้วยตัวเอง Ep.2] เที่ยวเจดดาห์ (Jeddah) เมืองใหญ่อันดับสองและเมืองท่าสำคัญแห่งทะเลแดง

เข้าสู่เมืองแรกที่เรามาเที่ยวกันในซาอุดิอาระเบียอย่าง เจดดาห์ (Jeddah) กันเลยนะคะ เนื่องจากเราอยากใช้ไมล์การบินไทย และการบินไทยจะมีบินตรงแค่เจดดาห์ค่ะ เลยมาเริ่มที่นี่ก่อน เมืองเจดดาห์นั้น เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศซาอุดิอาระเบีย และ เป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในทะเลแดงหรือ Red Sea และเมืองเจดดาห์จะค่อนข้างมีความสำคัญตรงที่หากชาวมุสลิมท่านใดจะเดินทางมาแสวงบุญที่เมืองเมกกะ (Mecca) ก็จะต้องมาลงที่สนามบินเจดดาห์แล้วนั่งรถไปต่อค่ะ

และด้วยความที่ เจดดาห์ นั้น อยู่ห่างจากเมืองหลวงอย่างริยาดห์แบบคนละชายฝั่งของประเทศ ทำให้บรรยากาศค่อนข้างแตกต่างและน่าเที่ยวทั้งสองเมืองเลยค่ะ ว่าแล้ว ตามมาเที่ยวเจดดาห์กันเลยนะคะ

อย่างที่บอกไปในตอนที่แล้ว ทริปนี้การเที่ยวซาอุดิอาระเบียทุกเมืองของนัท จะเป็นการบินไปลงสนามบินแต่ละเมือง แล้วเช่ารถขับเที่ยวค่ะ นัทบินมาถึง ผ่านตม. ใช้เวลารวดเร็วมาก แต่รอกระเป๋าเดินทางค่อนข้างนาน ส่วนที่นานที่สุดคือตรงเช่ารถ เพราะเหมือนเป็นวิธีเดินทางที่ฮิตของนักท่องเที่ยว ทุกคนก็จะมาต่อคิวกันตรงเช่ารถค่ะ ตามป้าย Car Rental ลงลิฟท์ไปชั้นล่างได้เลย พอเช่าเสร็จก็รับรถตรงที่จอดฝั่งตรงข้ามค่ะ

นัทหารถจาก Rentalcars.com นะคะ << คลิ๊กที่นี่ได้เลย 

ส่วนใครไม่สะดวกขับรถเที่ยวเอง จะมีทัวร์อยู่ ส่วนใหญ่นัทหาใน Tripadvisor.com เพราะมีรีวิวคนจริงอยู่ค่ะ ลองคลิ๊กลิงค์หาได้เลย

ไฟลท์ของการบินไทย ช่วงที่นัทมาจะบินเวลา 18.45 มาถึง 22.40 น. ใช้เวลาบิน 7 ชม. 55 นาที แต่รวมๆ ทุกอย่างกว่าจะถึงโรงแรมก็คือราวๆ ตีหนึ่งเลย ไฟลท์นี้ไม่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์นะคะ บิสสิเนสคลาสก็ไม่เสิร์ฟ ส่วนวันสุดท้ายที่กลับ กลับมาเจดดาห์เหมือนกัน ขากลับไทยโดยการบินไทย จะบินเวลา 00.40 มาถึงไทย 13.40 น. ค่ะ

เทียบราคาตั๋วเครื่องบินและจอง นัทแนะนำ Skyscanner.com ไม่ก็ Trip.com << คลิ๊กได้เลยนะคะ

ทั้งคืนแรกและคืนก่อนกลับ นัทพักที่ Ibis Jeddah City Centre ค่อนข้างแนะนำเพราะมีที่จอดรถหน้าโรงแรม โลเคชั่นไม่ได้อยู่ริมทะเล แต่ว่าเหมือนอยู่กลางๆ ระหว่างสนามบิน กับถนนเลียบทะเล ทำให้ไปที่ต่างๆ ค่อนข้างสะดวก แล้วเค้าอัพเกรดให้นัทเป็นห้องสวีทด้วย ห้องกว้างมากกก สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ราคาดีค่ะ

ทางไปจอง >> Ibis Jeddah City Centre 

อย่างวันแรกนัทจะมีเวลาเที่ยวเจดดาห์จนถึงประมาณสามโมงกว่าๆ ก็ไปสนามบินไปอีกเมือง ส่วนวันกลับ ก็มานอนคืนก่อนหน้า มีเวลาเที่ยวทั้งวันก่อนไปสนามบินค่ะ รายละเอียดการเดินทาง การทำวีซ่า ภาพรวมแผนการเดินทาง อ่านได้ในตอนที่แล้ว > คลิ๊กที่นี่ ได้เลยนะคะ เจดดาห์เที่ยวประมาณ 1-2 วันค่ะ ยกเว้นว่าถ้าใครจะไปดำน้ำแบบ Scuba Diving ก็ต้องเพิ่มไป ว่าแล้วมาชม ที่เที่ยว เมืองเจดดาห์ กันเลยค่ะ!


Al Tayebat Museum

นัทว่าที่นี่เหมาะกับการเป็นที่แรกในการเริ่มทำความรู้จักซาอุดิอาระเบียให้มากขึ้นค่ะ

จริงๆ แล้ว ชื่อซาอุดิอาระเบียที่เรารู้จักกันนั้น ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1932 ที่ผ่านมา แต่ตัวเมืองเจดดาห์เอง เป็นหนึ่งในท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดในน่านน้ำทะเลแดง และประตูสู่เมกกะห์ ทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยร่องรอยวัฒนธรรมมากมายเลยค่ะ

ซึ่งตัว Al Tayebat นี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงทั้งประวัติศาสตร์ของดินแดนบนคาบสมุทรอาหรับ ประวัติศาสตร์เมืองเจดดาห์ รวมไปถึงประวัติศาสตร์อิสลาม ภายในตัวอาคาร เก็บของไว้เยอะมากกกกก อาจจะไม่ได้ดูเป็นระเบียบเหมือนพิพิธภัณฑ์ระดับโลก แต่ถือว่าแบ่งหมวดหมู่และมีป้ายบอกตลอดค่ะ

อย่างไรก็ตาม ถ้าคนที่ไม่ได้อินกับพวกโบราณวัตถุ พวกนิทรรศการที่เล่าวัฒนธรรมความเป็นอยู่ทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงศิลปะอิสลาม อาจจะไม่ได้อินขนาดนั้นนะคะ เพราะที่นี่คือ ละเอียดและใหญ่มาก แบบเดินเข้าไปทีก็คือ วนอยู่นานเลยค่ะ

แม้ใครที่ไม่อินมาก ยังอยากให้มาชม สถาปัตยกรรมภายนอก ซึ่งวิจิตร สมบูรณ์ และ งดงามมากๆ ค่ะ ถ้าไปชมของจริงที่ตัวเมืองเก่าเจดดาห์ที่มีอาคารแบบดั้งเดิม เค้าไม่ได้ดูแลให้ดี เลยจะไม่สวยเนี้ยบขนาดที่นี่ค่ะ แค่เดินวนรอบนอกก็รู้สึกว่าสวยมากๆ แล้วค่ะ

แล้วก็ เวลาทำการคือ 8.00-12.00 น., 17.00 – 21.00น. พักกลางวันคือเที่ยงถึงห้าโมงนะคะ

งานหน้าต่างมุขที่ยื่นออกมาแบบนี้ เราจะเห็นได้ในโลกอาหรับหลายที่ (รวมถึงดินแดนที่ได้รับอิทธิพลจากโลกอาหรับด้วยนะคะ) เป็นหน้าต่างมุข (ภาษาอังกฤษคือ Oriel Window) คือหน้าต่างที่ยื่นออกมาแต่มีการปิดคลุมไว้ทั้งหมด ทางโลกอาหรับเรียกว่า “Mashrabiya” เหตุผลที่หน้าต่างเป็นแค่การยื่นออกมาแต่ยังมีระแนงบังไม่ให้ด้านนอกมองเห็นด้านใน ก็เพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นแง่มุมที่สำคัญในวัฒนธรรมอิสลาม แต่ก็มีทั้งฟังก์ชั่นการให้แสงเข้าและระบายอากาศด้วยค่ะ

ส่วนระเบียงไม้ที่เราเห็นเยอะๆ จะเรียกว่า Rawashin ซึงเป็นเอกลักษณ์ของเจดดาห์ ส่วนสีขาวที่เราเห็นในการสร้างอาคารจะเป็นหินปะการังนะคะ เพราะเจดดาห์ติดทะเล เลยมีหินที่เรียกว่า Al-kashur ซึ่งหาได้แค่แถบนี้ค่ะ


Knead Bakery

ร้านนี้เป็นร้านที่มาทานอาหารเช้ากันค่ะ นัทลองหาพวกข้อมูลร้านอาหาร ส่วนใหญ่ถ้าเป็นตามห้างหรือคอมมิวนิตี้มอลล์ จะเจอหาตะวันตกทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพวก สเต๊ก พิซซ่า พาสต้า กับ อาหารญี่ปุ่น หรือ จีน ซักเยอะเลยค่ะ ต้องบอกว่าหาร้านอาหารซาอุยากกว่า

อย่างร้านนี้เองก็เป็นร้านสไตล์คาเฟ่บรันช์ทั่วไปเลย เสิร์ฟเมนูอาหารเช้า แซนด์วิช Bagel สลัด ซึ่งบางเมนูก็จะมีลูกเล่นเอาของท้องถิ่นมาใส่บ้าง เช่น ชีสฮาลูมี่ย่าง (ชีสฮาลูมี่จริงๆ มาจากไซปรัส แต่เป็นที่นิยมที่นี่ค่ะ) Falafel Waffle อร่อยมากๆ นอกนี้ก็เบเกอรี่ กาแฟ ทั่วไปเลยค่ะ


Jeddah Corniche & The Red Sea

เจดดาห์เป็นเมืองริมทะเล และจะมีถนนเลียบทะเล (Corniche) ที่เป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ มีคอมมิวนิตี้มอลล์ โรงแรมหรูเรียงๆ กัน มีที่เที่ยวเช่น Fakieh Aquarium, Al Rahmah Mosque ตอนนัทไปเค้ากำลังสร้างอ่าวเรือยอชมาริน่าใหญ่โตมาก บนฝั่งที่เลียบทะเล เป็นลานให้คนเดิน มีคาเฟ่ ร้านฟาสท์ฟู้ด (เช่น สตาร์บัคส์ หรือ Al Baik เป็นร้านไก่ทอดสไตล์เคเอฟซีแบรนด์ที่นั่น) อยู่ตลอดทาง

ช่วงกลางวันคนยังไม่เยอะ แต่ตอนพระอาทิตย์ตก นี่คือลูกเล็กเด็กแดง หนุ่มสาว คนออกมาเดินเพียบ คึกคักมาก มีจักรยานให้เช่าด้วยค่ะ

อ้อ ทะเลที่เราเห็นนี่คือ ทะเลแดง หรือ Red Sea (ที่ไม่ได้มีสีแดงนะคะ ) Red Sea นี่มีอาณาเขตติดกับทางฝั่งตะวันออกของแอฟริกา และก็ตะวันตกของคาบสมุทรอาหรับนี่แหล่ะค่ะ ชื่ออาจจะคุ้นหู เพราะ ถ้าใครเคยได้ยินตำนาน โมเสส เอาไม้เท้าแหวกทะเล เพื่อพาชาวอิสราเอลหนีจากอียิปต์ ก็คือแหวกทะเลแดงนี่เลยค่า แต่ถ้าอยากอินกับตำนานนี้ต้องขึ้นไปเที่ยวแถวๆ ประเทศจอร์แดนค่ะ


Al Rahmah Mosque

มัสยิด Al Rahmah เป็นหนึ่งในไม่กี่มัสยิดในประเทศซาอุดิอาระเบียที่ให้ผู้ที่ไม่ใช่ศาสนาอิสลามเข้าค่ะ มัสยิดแห่งนี้สร้างในปี คศ. 1985 ยื่นออกไปเหนือทะเล ทำให้มัสยิดดูเหมือนลอยน้ำอยู่ค่ะ มาช่วงพระอาทิตย์ตกสวยงามมากๆ


Al-Balad

ถ้าถามว่า มีเวลาเที่ยวแค่ที่เดียวในเจดดาห์ จะไปที่ไหน ก็ต้องบอกว่า ต้องมาย่านเมืองเก่า Al-Balad ค่ะ เขตนี้ต้องบอกก่อนนะคะว่า จะมีความดิบและแอบโทรม แต่มีที่มาค่ะ

เดิมในอดีตตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ตัวเอง Al-Balad นี้เป็นศูนย์กลางของเมือง คำว่า Al Balad แปลตรงตัวก็คือ “The Town หรือ The City” เลยค่ะ ทีนี้ ประวัติศาสตร์ประเทศซาอุดิอาระเบีย เปลี่ยนไปตอนพบน้ำมัน ตอนปี 1938 ค่ะ และตั้งแต่ตอนนั้น ก็ทำให้ชาวเมืองมีฐานะร่ำรวยขึ้นตามความเฟื่องฟูของน้ำมันเลย ผู้คนส่วนใหญ่เลยย้ายออกไปสร้างที่อยู่ใหม่เลยค่ะ ทำให้ย่านนี้เริ่มดูโทรม แต่ก็เป็นย่านที่เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรม เหมือนที่นัทพูดถึงไปตอนไปเที่ยว Al Tayebat แต่ตรงนี้เป็นของดั้งเดิมเลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม ทางการเค้าพยายามบูรณะอยู่นะคะ เห็นมีการก่อสร้างอยู่เยอะเลย

เราเดินเลาะจากแถว Naseef House ขึ้นมาทาง Shafei Mosque ค่ะ ตลอดทางก็จะผ่าน Souk (ตลาด) บ้าง ร้านขายของต่างๆ บ้าน มาแวะที่คาเฟ่แห่งนี้ ชื่อว่า Medd Cafe & Roastery ขนมอร่อย กาแฟจริงจังอยู่ค่ะ

เดินมาทาง Shafei Mosque ก็จะเจอกลุ่มอาคารแถวๆ นี้ ซึ่งเป็นแบบของ Mashrabiya กับ Rawashin แบบซาอุดั้งเดิม สวยงามมากๆ ค่ะ

สำหรับมื้อเที่ยงนี้ มีร้านที่นัทตั้งใจมาทานมากๆ เป็นร้านที่คุณ Mark Wein เคยมาถ่าย ในกูเกิ้ลแมพไม่มีชื่อภาษาอังกฤษ ต้องกดว่า مطعم البصلي للاسماك والمأكولات الشعبية ค่ะ พิกัดตามลิงค์นี้ https://maps.app.goo.gl/8mDdDFxn7jdQxtNV6

ไฮไลท์ของร้านนี้คือ ซีฟู้ดสดค่ะ มาถึงเจดดาห์ ต้องได้ทานซีฟู้ด และซีฟู้ดที่นี่ เค้าบอกว่า แทบไม่ปรุงเลย เพราะ ทะเลแดงเป็นทะเลที่มีความเค็มเข้มข้นเป็นอันดับต้นๆ ทำให้ปลาต่างๆ เค็มไปด้วยค่ะ ซีฟู้ดที่นี่จึงสด เนื้อเด้งหวาน ดีงามขอแนะนำต่อเลยค่ะ บรรยากาศจะโลคอลๆ หน่อยนะคะ เราไปก่อนเที่ยง เลยยังมีที่นั่ง ต่อตอนเราทานเสร็จคือคนแน่นแล้วค่ะ

Souq Al Alawi

คำว่า Souk หมายถึงตลาด ซึ่งตอนแรกนัทก็ไม่รู้จะซื้ออะไร เค้าขายพวก เครื่องเทศ เครื่องหนัง กำยาน น้ำหอม มีพวกไม้กฤษณาที่แพงๆ ด้วยนะคะ จนไปถึงร้าน อินทผลัม หรือ Date ค่ะ คนขายบอกว่า ในซาอุดิอาระเบียเอง มีเดทเป็นร้อยๆ ชนิด แล้วความสนุกคือ ทุกชนิดไม่เหมือนกันเลยยย จึงสนุกกับการชิมแบบไม่กลัวน้ำตาลหนึ่งวัน แต่ว่า แต่ละรุ่น มันต่างกันมากจริงๆ ค่ะ ทั้งเนื้อสัมผัส บางอันฉ่ำ บางอันแห้ง รสหวานก็หวานไม่เหมือนกัน เม็ดเล็ก เม็ดใหญ่ รสชาติต่างกันหมดเลย เอาเป็นว่า วันนั้นอยู่ในร้านเดทเกือบชั่วโมง

อ้อ ราคาถูกกว่า ซุปเปอร์มาร์เก็ตในไทย น่าจะห้าถึงสิบเท่าเลยค่ะ

Mecca Gate

อีกหนึ่งไฮไลท์ของย่านเมืองเก่าคือ ประตูไปนครเมกกะห์ หรือ มักกะห์ ที่ผู้คนไปแสวงบุญพิธีฮัจจ์ ค่ะ โดยประตูแห่งนี้เป็นประตูเก่านะคะ ปัจจุบันจะมีซุ้มใหม่บนไฮเวย์ถนนใหญ่ๆ เลย เพราะ นครเมกกะห์ ถือเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ จึงยังไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามเข้าค่ะ ถ้าขับรถไปถึงประตูนั้น เราจะมีทางเลี้ยวแยกสำหรับ non-muslim ค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีที่นัทไปแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา อย่าง Red Sea Mall ก็เป็นหนึ่งในห้างที่หรู และ มีครบทุกอย่างเลยค่ะ นัทมาแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่มาก ฟีล โลตัส ก็มีทั้งขนม เดท ชีส เครื่องเทศ และ Qahwa ที่ทานทุกวันจนชอบ น่าซื้อกลับหลายอย่างเลย ถ้าห้างที่เน้นแบรนด์หรูอย่างเดียว จะมี Boulevard ที่น่าเดินค่ะ แล้วก็นอกจากนี้ อีกที่ที่เป็นไฮไลท์คือ King Fahad’s Fountain น้ำพุที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งนัทไปสองรอบแล้วน้ำพุเค้าไม่เปิด เลยไม่ได้เห็นเลยค่ะ


ที่พักในเจดดาห์

การเที่ยวในซาอุดิอาระเบีย จะยังไม่ได้มีออปชั่นแบ็กแพคเกอร์ แนวโฮสเทลอะไรแบบนั้นนะคะ  ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมค่ะ อย่าง Ibis ที่นัทพักก็ประมาณสามพันบาท มันจะมีสอง Ibis นัทว่าอันนี้แอบสะดวกกว่าหน่อย

ทางไปจอง >> Ibis Jeddah City Centre 

โรงแรมหรูที่สวยมากๆ และคิดว่าถ้าได้กลับไป จะไปพักผ่อนคือ The Ritz-Carlton Jeddah ตัวอาคารสวยมากค่ะ

นอกจากนี้ ก็มีโรงแรมที่ชื่อคุ้นหู ส่วนใหญ่รีวิวโอเค และ มีที่จอดรถฟรีค่ะ อยู่ในย่านที่เดินทางด้วยรถยนต์สะดวก
Mövenpick Hotel Tahlia Jeddah
Crowne Plaza Jeddah, an IHG Hotel
InterContinental Jeddah, an IHG Hotel
The Hotel Galleria By Elaf

ลองคลิ๊กที่ชื่อโรงแรมเพื่อเช็คราคาโปรโมชั่นและจองได้เลยนะคะ


สำหรับรีวิวเที่ยวซาอุดิอาระเบียด้วยตัวเอง นัทแบ่งเป็น 5 ตอนนะคะ

ตอนที่ 1 : ข้อมูลทั่วไป ทุกอย่างที่ควรรู้ แผนการเดินทาง

ตอนที่ 2 : เที่ยว Jeddah

ตอนที่ 3 : เที่ยว Al Ula Part 1

ตอนที่ 4 : เที่ยว Al Ula Part 2

ตอนที่ 5 : เที่ยวเมืองหลวง Riyadh


หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า

 




ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: