[เที่ยว Burgundy ฝรั่งเศส ตอนที่ 3] ทัวร์ไร่ไวน์เบอร์กันดีใน Cote D’Or, เที่ยวเมือง Beaune และ ปราสาท La Rochepot

หลังจากที่เราพักผ่อนกันในปราสาทชาโต้ ซึมซับบรรยากาศกันจนเต็มอิ่มไปในตอนที่แล้ว วันนี้เราจะเริ่มไปขับรถแวะเยี่ยมชมหมู่บ้านทำไวน์ และ ไร่ไวน์ในเบอร์กันดีค่ะ ส่วนใครไม่ใช่คอไวน์ นัทก็ยังแนะนำให้แวะอย่างน้อย 1 ที่ ไปชมเป็นประสบการณ์ซักหน่อย แล้วไปต่อตามเมืองท่องเที่ยวอย่าง Beaune หรือ ปราสาท La Rochepot ก็ได้ค่ะ
แต่สำหรับคนทานไวน์แล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักไวน์จากเขต Burgundy เพราะนี่คือหนึ่งในแหล่งทำไวน์ที่ดีและเก่าแก่ที่สุดในโลก โดยคาดว่ามีการทำไวน์ใน Burgundy มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2200 ปี แต่จริงๆ แล้ว พื้นที่ปลูกไวน์ Burgundy นั้นมีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับไวน์จากเขตอื่น (เล็กกว่า Bordeaux ถึง 4 เท่าตัว) โดยไวน์ Burgundy นั้น มาจากเขตพื้นที่ ที่เรียกว่า ‘Cote d’Or’ ที่แปลตรงตัวว่า Golden Slope ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่า มาจากการที่ไร่ไวน์ตามเนินเขาบนแนวถนนยาวประมาณ 60 กม.นี้ มีสีทองอร่ามในฤดูในไม้ร่วงนั่นเอง
นั่นเป็นเหตุผลให้เราเลือกที่จะมา Burgundy ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เผื่อมาชมพื้นที่สีทองสมชื่อ Cote d’Or นั่นเอง
Côte-de-Nuits
พื้นที่ปลูกองุ่นที่สำคัญที่สุดของ Cote d’Or นั้นจริงๆ แล้วไม่ใหญ่มาก โดยเราจะเห็นต้นองุ่นถูกปลูกเต็มบริเวณไหล่เขาเป็นเส้นทางยาวเพียงประมาณ 60 กิโลเมตร และ พื้นที่ปลูกจากเนินเขาลงมาถึงพื้นราบนั้น ก็กว้างประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งเส้นทางนี้ ชื่อว่า Route des Grands Crus เป็นถนนสายไวน์ที่เราสามารถขับรถชมทิวทัศน์อันสวยงามจากเมือง Dijon ไปจนถึงเมือง Beaune และลงไปถึงเมือง Santenay และผ่านชมพื้นที่การปลูกองุ่นที่ดีที่สุดของ Burgundy นั่นเอง
ใน Cote d’Or จะแบ่งพื้นที่ให้เข้าใจกันง่ายเป็นทางเหนือและทางใต้ ในชื่อ Cote-de-Nuits และ Cote-de-Beaune เมื่อเราออกจากเมือง Dijon มา เราจะเข้าสู่พื้นที่ Cote-de-Nuits กันก่อนค่ะ
Cote de Nuits เป็นแหล่งเพาะปลูกไวน์แดง Pinot Noir อันมีชื่อเสียง ซึ่งไวน์ชั้นนำจากเขตนี้ที่คอไวน์มักจะเคยได้ยินบ่อยๆ ก็ได้แก่ Domaine de Romanee Conti (DRC), Domaine Armand Rousseau, Domaine Leroy, Domaine Georges Roumier เป็นต้น ซึ่งไวน์จากไร่ดังกล่าวนั้นมีราคาค่อนข้างสูง โดยไวน์ Grand Cru ตัวท็อปๆจากไร่ไวน์เหล่านี้ มีราคาถึงขวดละหลายแสนบาทและอาจจะถึงหลักล้านก็เป็นได้ค่ะ
ต้นองุ่นที่เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้ขับรถไปแล้วเป็นสีเหลืองทองสุดลูกหูลูกตา ที่มาของคำว่า Cote d’Or ค่ะ
Clos Vougoet
ลัดเลาะตามเส้นทางสายไวน์ ผ่านหมู่บ้านดังๆ ทั้ง Gevrey-Chambertin, Morey-Saint-Denis เราเดินทางมายังจุดท่องเที่ยวแรกของวันนั่นคือ Chateau de Clos Vougoet เป็นปราสาทเก่าแก่อายุร่วม 500 ปี คู่บ้านคู่แคว้น Burgundy มายาวนานค่ะ พื้นที่ Clos Vougoet แห่งนี้ เป็นไร่ไวน์ที่เหล่าสงฆ์ Cistercians ทะนุถนอมหวงแหนมากจนต้องสร้างกำแพงล้อมพื้นที่นี้ในปี 1336 (ทำให้เกิดคำเรียกว่า “Clos” ในชื่อไร่ ไว้เรียกไร่ไวน์ที่มีกำแพงกั้น) และสร้างปราสาทนี้ขึ้นมาภายหลังในปี 1551 เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและผลิตไวน์นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ไร่ไวน์แห่งนี้ถูกเปลี่ยนมือไปหลายครั้ง จนกระทั่งหลังจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 Chateau de Clos Vougeot ก็ได้ถูกใช้เป็นที่ตั้งของ สมาคม Confrérie des Chevaliers du Tastevin ที่มีสมาชิกเป็นเหล่าคนรักไวน์ Burgundy จากทั่วโลกมารวมตัวกัน มีงานประจำทุกปี ในปัจจุบัน ปราสาทแห่งนี้ ยังเป็นมิวเซียมที่บอกเล่าเรื่องราวของการทำไวน์ Burgundy ในสมัยอดีต ให้เราได้เห็นวิธีทำและเครื่องมือในสมัยก่อนด้วยค่ะ
การจำแนกประเภทของไวน์ Burgundy (Wine Classification)
เมื่อสักครู่เราพูดถึงคำว่า Grand Cru กันไปหลายครั้ง เลยอยากจะเหล่าให้ฟังค่ะ ว่ามันคืออะไร
ใน Burgundy นั้น มีการจัดอันดับคุณภาพของ “พื้นที่” ในการปลูกองุ่นทำไวน์นั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ทำไวน์ให้ความสำคัญจนถึงขั้นเรียกได้ว่า คลั่งไคล้ เลยก็ได้ค่ะ กลุ่มบุคคลที่สำคัญในการริเริ่มจัดลำดับขั้นของไร่ไวน์ Burgundy ก็คือเหล่าบาทหลวง Cistercians ที่มาครอบครองที่ดินบริเวณนี้และปลูกองุ่นในพื้นที่ มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11
การจัดอันดับไร่ไวน์ใน Burgundy นั้นผ่านปรับปรุงและถกเถียงกันเป็นเวลานาน จนท้ายที่สุด ได้พัฒนามาในรูปแบบของ Appellation d’origine Contrôlée (AOC) ด้วยความที่พื้นที่ทำไวน์ Burgundy นั้นโดนแยกแยะและจัดอันดับความแตกต่างของพื้นที่อย่างละเอียดมาอย่างยาวนาน ทำให้ไวน์ Burgundy นั้นมี AOC ที่มากถึง 84 AOCs ด้วยกัน ซึ่งนับเป็น 23% ของ AOC ทั้งหมดสำหรับไวน์ฝรั่งเศสทั้งประเทศ ในขณะที่หากนับประมาณการผลิตไวน์ เขต Burgundy ผลิตไวน์ได้เพียง 4% ของทั้งประเทศเท่านั้น
นั่นหมายความว่า Burgundy นั้นมีพื้นที่ปลูกไวน์ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ (terroir) ของตัวเองสูงที่สุดในฝรั่งเศส!! และมีอะไรให้ศึกษาค้นหาเยอะมาก จนทำให้โด่งดังและมีผู้หลงไหลทั่วโลก
โดย AOC เหล่านี้ จะถูกแบ่งลำดับชั้นออกไปเป็น 4 ระดับชั้นด้วยกัน โดยชั้นเริ่มต้นคือ Bourgogne, ตามมาด้วย Village, Premier Cru และสูงสุดคือ Grand Cru ซึ่งไวน์ระดับ Grand Cru ของ Burgundy นั้นมีปริมาณผลผลิตเพียง 2% เท่านั้นของปริมาณไวน์ Burgundy ทั้งหมด แต่มีจำนวน AOC มากถึง 33 ตัว
Nuits-Saint-Georges
เมืองนี้เราจะเห็นชื่อในฉลากไวน์อยู่บ่อยๆ เลยล่ะค่ะ เป็นเมืองที่ถือว่าค่อนข้างใหญ่ ก่อนจะเข้าสู่ Beaune ซึ่งหลายๆ คนที่มาทัวร์ไวน์ ก็อาจจะมาพักที่นี่นะคะ เพราะมีที่พักและร้านอาหารเยอะ กลางเมืองก็น่าเดินนะคะ เดินเล่น ดูโบถส์ มีมิวเซียมเล็กๆ เช้าตื่นมาวิ่งหรือเช่าจักรยานปั่นไปตามไร่ไวน์ก็ได้ ไร่ดังอย่าง Romanee-Conti ห่างไปประมาณ 3 กม. เองค่ะ
ส่วนพวกเรามาแวะหาอาหารเที่ยงค่ะ เราเดินสุ่มๆไปเจอร้านชื่อ La Cabotte ค่ะ เสิร์ฟอาหาร 3 คอร์สในราคา 19 Euro ใช้ได้เลย ชอบเบอร์กันดีตรงร้านแรนดอม ก็อร่อยทุกร้าน แถมราคาดีมากเลยค่ะ
Visit the winery
มาถึง Burgundy แล้ว เราก็ได้มาเยี่ยมเยียนไร่ไวน์หน่อย ซึ่งจะแบ่งเป็นส่วนของไร่ที่ปลูก ที่มีต้นองุ่นอยู่ และ โรงผลิต หรือที่เรียกว่า Domaines นั่นเอง สำหรับผู้ผลิตที่เรามาชมวันนี้คือ Domaine Jean-Fery ในหมู่บ้าน Echevronne ค่ะ ซึ่งทาง Domaine Jean-Fery นั้นมีไร่ไวน์หลากหลายพื้นที่ ทั้งใน Cote de Nuits และ Cote de Beaune ตั้งแต่ ระดับ Bourgogne ไปจนถึง Grand Cru เลยค่ะ
อยากบอกว่าเจ้าของไร่ไวน์น่ารักมากๆ ขับรถพาเราไปชมไร่ไวน์ของเค้า อธิบายอย่างละเอียด จากนั้นพาเราไปใน cellar เพื่อดูวิธีการผลิตไวน์ และปิดท้ายด้วยการชิมไวน์ แต่เนื่องจากเราไปฤดูใบไม้ร่วง หลังการเก็บเกี่ยวแล้วเพียงไม่ถึงเดือน ทำให้ไวน์ปีที่เราไปนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการหมักอยู่ เราเลยได้ลองชิมไวน์จากปีก่อนๆแทนค่ะ
Tips: สำหรับใครที่ต้องการไปเยี่ยมชมไร่ไวน์ ทั้งใน Burgundy และที่อื่นทั่วโลก แนะนำให้เลี่ยงช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวหน่อยนะคะ เพราะเค้าอาจจะไม่มีเวลามาต้อนรับ สำหรับ Burgundy ก็จะประมาณเดือน กันยายน ถึง ตุลาคม แล้วแต่ปีค่ะ ส่วนเราไปถึงหลังเก็บเกี่ยวพอดี ก็เลยได้เห็นเป็นต้นองุ่นสีนี้ค่ะ (ฤดูใบไม้ผลิ-ซัมเมอร์วิวจะเป็นสีเขียว ส่วนฤดูหนาวจะเป็นกิ่งแห้งๆ)
บ้านกระท่อมเล็กๆ นี้ เรียกว่า Cabotes ค่ะ เป็นกระท่อมหินไว้เก็บเครื่องมือ และ นั่งพักเวลาทำไร่ค่ะ
เมือง Beaune
เมือง Dijon นั้นเป็นศูนย์กลางและเมืองใหญ่ของแคว้น แต่ Beaune นั้นถูกเรียกว่าเป็นเมืองหลวงของไวน์เบอร์กันดีและ Cote d’Or ค่ะ คล้ายๆ กับว่า เป็นศูนย์กลางในการทำธุรกิจอีกที มีสถานีรถไฟ มีรถไฟความเร็วสูง TGV มาลงค่ะ
หลังจากที่ไปเที่ยวมาทั้งวัน ช่วงเย็นๆ เราก็เข้ามาพักที่เมือง Beaune นี้ค่ะ วันนี้เหมือนจะไปเยอะ แต่จริงๆ เราขับรถไม่ถึง 40 -50 กม. จากชาโต้เมื่อตอนที่แล้วเองค่ะ ในช่วงเย็นๆ นั้น Beaune เป็นเมืองเล็กๆ แต่ค่อนข้างคึกคักทีเดียว เต็มไปด้วยไวน์บาร์ ร้านไวน์ ให้เดินไปชิม ไปดื่มเพียบ เดินได้ทั้งเมืองค่ะ รู้สึกปลอดภัยดี
จุดที่น่าสนใจใน Beaune ก็จะมี Hospices de Beaune, โบถส์ Collegiate Church of Notre Dame, ตลาดเก่า Les Halles และ หอนาฬิกา Beffroi ค่ะ
ขอเริ่มจาก Hospices de Beaune ที่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของสถาปัตยกรรมเบอร์กันดีในยุคศตวรรษที่ 15 ที่ชัดเจนที่สุดเลยค่ะ ดูได้จากกระเบื้องหลังคา Toit bourguignon อันสวยงาม สถานที่แห่งนี้ เคยเป็นสถานสงเคราะห์หรือโรงพยาบาลเพื่อผู้ยากไร้มาก่อนตั้งแต่ช่วงปี 1443 ในปัจจุบัน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงโรงพยาบาลในสมัยนั้น ทั้งเหล่าแม่ชีที่ต้องปรุงยา ห้องพักผู้ป่วย ข้าวของเครื่องใช้ก็ยังถูกจัดแสดงไว้อยู่ ถือว่าไม่ได้หาชมได้ง่ายๆ เลยนะคะ
นอกจากนี้ ยังมีงานประจำปี เป็นการจัดประมูลไวน์ (Auction) การกุศล ที่ทำมาตั้งแต่สมัยที่โรงพยาบาลต้องใช้เงิน จึงได้รับบริจาคจากไร่ไวน์ ถึงทุกวันนี้ ก็ยังจัดจนเป็นประเพณีกันอยู่ทุกๆ เดือน พย. ค่ะ
โบถส์สอนหนังสือ Collegiate Church of Notre Dame ค่ะ
หอนาฬิกา Beffroi de Beaune หอนาฬิกาสไตล์โรมาเนสก์ อีกหนึ่งในแลนด์มาร์กเก่าแก่ ตอนกลางคืนจะเปิดไฟสีๆ ด้วยค่ะ
Cote-de-Beaune
เมื่อวานเราเที่ยว Cote d’Or ตอนเหนือแล้ว วันนี้มาตอนใต้บ้างค่ะ
ออกมาจากเมือง Beaune เราก็เจอไร่ไวน์เลย โดยไร่ไวน์บริเวณเมือง Beaune ไปจนถึง Santenay นั้นจะถูกเรียกรวมๆว่า Cote de Beaune ซึ่งไวน์ที่มีชื่อเสียงของ Cote de Beaune ก็คือ ไวน์ขาวจากองุ่น Chandonnay นั่นเองค่ะ และแม้ว่าองุ่นพันธุ์ Chardonnay นั้นจะถูกปลูกไปในเกือบทุกพื้นที่ทำไวน์ในโลกนี้ แต่ Burgundy นั้นถือว่าเป็นแหล่งต้นกำเนิดของ Chardonnay และจนกระทั่งวันนี้คอไวน์ยังให้การยอมรับว่าดีที่สุดในโลกอีกด้วยค่ะ
ซึ่งไร่ไวน์ที่โด่งดังที่สุดของ Cote de Beaune ก็หนีไม่พ้น Montrachet ที่เราจะแวะไปเยี่ยมชมกันค่ะ
สำหรับการชมไร่ไวน์และการผลิตไวน์ในพื้นที่ Cote de Beaune เราเลือกที่จะใช้บริการของ Domaine Olivier Leflaive ที่มีทั้งที่พักระดับ 4 ดาว ห้องอาหารฝรั่งเศสชั้นดี และมีบริการพาทัวร์ไร่ไวน์และการทำไวน์แบบละเอียด เจาะลึก และเค้าเล่าทุกเรื่องไม่มีกั๊กเลย
เป็นทัวร์โรงผลิตและไร่ไวน์ที่มีความยาวประมาณร่วม 3 ชั่วโมง และ ตอนที่เราไปก็มีคนจากหลากหลายชาติ แต่ทุกคนดูชอบทานไวน์มาก และสนใจแบบไม่มีหลุดทั้ง 3 ชั่วโมงนั้นเลย… ส่วนนัทขอสารภาพว่า เดินไปนั่งรอเรียบร้อยค่ะ ข้อมูลลึกไปนิด ตามไม่ทัน
อาหารเที่ยงในห้องอาหาร Le Bistro d’Olivier ค่ะ รสชาติดีทีเดียว และแน่นอนว่ามีไวน์ขาวดีๆจาก Domaine Olivier Leflaive ให้แพร์อย่างครบถ้วน
Montrachet
ขับรถออกจาก Hotel Olivier Leflaive มาไม่นาน เราก็มาถึงไร่ไวน์ขาวในตำนานของ Burgundy นั่นก็คือ Montrachet นั่นเอง ที่เล็กๆเพียงไม่ถึง 10 Hectare แห่งนี้คือที่ๆปลูกองุ่น Chadonnay ที่ดีที่สุดในโลก สำหรับคนที่ไม่สู้ราคาของไวน์ Montrachet รอบๆไร่ Montrachet นั้นก็ยังมีไร่ไวน์ระดับ Grand Cru อีกหลายไร่ เช่น Chevalier Montrachet และ Batard Montrachet ที่ราคาย่อมเยาว์ลงมาเป็นเท่าตัว อย่างไรก็ตาม ไร่ไวน์แต่ละไร่นั้น มีเจ้าของหลายคน บาง Domaine อาจจะเป็นเจ้าของไร่ Montrachet เพียงแค่แถวองุ่นไม่กี่แถวก็เป็นได้ ด้วยวิธีการดูแลต้นองุ่นและการผลิตที่แตกต่างกัน ทำให้คุณภาพและราคาของไวน์จากไร่เดียวกันอาจจะต่างกันมากๆก็เป็นได้
Domaine ชั้นนำที่ผลิตไวน์ Montrachet และพื้นที่ข้างเคียง ที่ควรค่าแก่การลิ้มลอง ได้แก่ Domaine de Romanee Conti, Domaine Leflaive, Domaine Sauzet, Domaine Ramonet, Domaine Henri Boillot, Pierre Yves Colin Morey, Domaine Comte Lafon, Domain Joseph Drouhin เป็นต้น
จริงๆ ต้องบอกว่า การมาเช็คอินตรงนี้ ถือว่าลำเอียงนิดหน่อยค่ะ เพราะ เป็นไวน์โปรดของเราสองคน ตอนที่มา เราจะเห็นคุณลุงคุณป้า ขับรถตามกันมา นั่งปิคนิค เปิดไวน์กันตามข้างไร่เต็มเลยค่ะ (ส่วนตัวนัทเป็นคนขับ จะไม่ดื่มค่ะ ถึงไป wine tasting ก็จะบ้วนทิ้งค่ะ)
La Rochepot
ก่อนที่เราจะออกจากเขต Burgundy ไป ก็ขอมาเที่ยวอีกหนึ่งปราสาทที่สวยงามดั่งเทพนิยาย เป็น Castle on the Hill ของแท้เลย ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาสวยงาม
ตัวปราสาทเป็นของ Duke of Burgundy มีอยู่มาตั้งแต่ช่วงปี 1170 – 1205 แล้วถูกทำลายไป จน Duke รุ่นถัดไปกลับมาจากสงครามครูเสด ก็กลับมาสร้างใหม่อีกครั้งในสไตล์ นีโอโกธิค และมีการผสมผสานสไตล์เบอร์กันดีเข้าไป ทำให้มีความโดดเด่นมากๆ ค่ะ
*อัพเดท* ปราสาทปิดไม่ให้เข้าชมมาตั้งแต่ปี 2019 (ด้วยคดีแปลกๆ ของเจ้าของ ที่นัทยังไม่มีเวลาศึกษาข้อมูล) ตอนนี้ยังไม่มีอัพเดทเปิดค่ะ
จากตรงนี้ ก็จะถือว่าจบทริป Burgundy ของเราอย่างสมบูรณ์ค่ะ ชอบมากๆ และคิดว่าจะกลับมาใหม่แน่นอน เราสามารถขับรถไป Lyon ต่อได้ค่ะ ซึ่งนัทขับไปถึงสวิสเลย ส่วนใครที่เป็นคอไวน์ อย่าลืมไปอ่านรีวิว Bordeaux ของเราด้วยนะคะ
รีวิวเที่ยวแคว้น Burgundy มีทั้งหมด 3 ตอน
[เที่ยว Burgundy ฝรั่งเศส ตอนที่ 1] โร้ดทริปไร่ไวน์ ท่องหมู่บ้านเทพนิยายในแคว้นเบอร์กันดี
รีวิวเมืองอื่นๆ
สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!
หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า
ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com